บทความ
เมื่อ “ข้อมูล” ไม่เปิด : “ความยุติธรรม” จึงปิด เหตุใดระบบยุติธรรมไทย จึงไม่ใช่พื้นที่ที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย
 
																								
“ผมโดนโกงค่าจ้างครับ เคสนี้มีเหยื่อเป็นร้อยคน แต่ทุกวันนี้เราก็ยังไม่รู้เลยว่าคดีไปถึงไหนแล้ว” พีซ ช่างภาพอิสระ เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อกลางปีที่แล้ว หลังเจอกับดัก “โมเดลลิ่งปลอม” ที่หลอกหานายแบบนางแบบเด็ก ช่างแต่งหน้า และช่างภาพไปทำงาน ผ่านเฟซบุ๊ก
มิจฉาชีพที่อ้างตัวเป็นบริษัทถ่ายงาน มี “คนประสานงาน” ทำหน้าที่รับเงินแทน สุดท้ายเหยื่อถูกโกงค่าจ้างกันเป็นแถบ “หลังจากเขาบ่ายเบี่ยงโอนเงินค่าจ้าง เรามารู้ตอนที่พบว่าเขาเอารูปเบื้องหลังงานเราไปหลอกคนอื่นต่อ แล้วเก็บเงินค่าชุด ค่าแต่งหน้า เหมือนธุรกิจฉ้อโกงครบวงจร”
กำแพงด่านแรก แค่การแจ้งความ…ยังยาก
พีซและกลุ่มผู้เสียหาย นัดรวมตัวไปแจ้งความที่ สน.ทองหล่อ ด้วยความที่ไม่รู้ข้อกฎหมาย ว่าต้องไปแจ้งความในท้องที่เกิดเหตุ ตำรวจจึงไม่สามารถรับแจ้งความได้ พวกเขาจึงตัดสินใจนัดกันไปที่กองปราบปรามในวันถัดมา เพราะเห้นว่าคดีนี้มีผู้เสียหายจำนวนมาก แต่เมื่อไปกองปราบฯ ตำรวจบอกว่าคดีมีมูลค่าความเสียหายไม่ถึง 5 ล้าน กองปราบไม่สามารถรับคดีได้ และบอกให้ไปแจ้งความที่ สน.พญาไท แทน เพราะเป็นท้องที่เกิดเหตุ
เมื่อไปถึง เขาและผู้เสียหายก็ยังไม่สามารถแจ้งความได้ พนักงานสอบสวนปฏิเสธรับเรื่อง บอกว่าไม่ใช่ท้องที่เกิดเหตุ และให้ไป สน.บางซื่อ
“ตำรวจบอกว่าจุดเกิดเหตุมันเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวกัน เราต้องไปที่ สน.บางซื่อ เราวิ่งไปมา 3 โรงพัก แต่ไม่มีที่ไหนรับเรื่องเลย เหมือนเราเดินอยู่ในวงกลมของความไม่รู้ แม้แต่ตำรวจเองก็ยังไม่แม่นข้อมูล ”
กำแพงด่านสอง การตีความกฎหมาย : คดีแพ่ง vs คดีอาญา
ตำรวจ สน.บางซื่อ ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุ บอกว่าคดีของพวกเขาเป็น “คดีแพ่ง” เพราะเป็นการผิดสัญญาจ้าง ไม่ใช่ “คดีอาญา”
“เขาบอกว่าพวกผมว่าต้องไปฟ้องเอง แต่เราจะฟ้องเองยังไง มันไม่ใช่เรื่องแค่เงิน แต่มันคือความตั้งใจจะไม่ให้ใครโดนแบบนี้อีก”
เมื่อไม่ได้รับคำแนะนำ ผู้เสียหายพยายามหาความจริงด้วยตัวเอง เขาค้นข้อมูลเองจนพบว่าการที่มิจฉาชีพใช้รูปเหยื่อโพสต์หลอกต่อ ซึ่งเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล PDPA สุดท้ายตำรวจจึงยอมรับแจ้งเป็นคดีอาญาและออกหมายเรียกได้สำเร็จ
แต่หมายเรียก…ไม่ใช่ความคืบหน้า
เวลาผ่านไปเป็นปี คดียังคงเงียบหายไป ไม่มีใครติดต่อมา แม้เขาจะพยายามช่วยสืบหาชื่อและนามสกุลของคนร้าย ได้รูปหน้าบัตรประชาชนมาให้ตำรวจ จนเขาท้อและยอมรับว่าถอดใจ ไม่ใช่เพราะการไม่ได้เงินคืน แต่เพราะรู้สึกถึงระบบความยุติธรรมที่ดูไกลตัวเหลือเกิน
“เราแจ้งความแล้วเหมือนโดนทิ้ง ถึงเราพยายามจะติดตาม แต่ไม่มีใครบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่าคดีถึงไหน ต้องทำอะไรต่อ”
ไม่มี “ OPEN DATA ” สำหรับคนเป็นเหยื่อ
เขาเสนอว่า กระบวนการยุติธรรมไทยควรมีระบบ “One Stop Service” ให้แจ้งความได้ทุกพื้นที่ และ Open Data ให้สามารถ “ติดตามคดีออนไลน์” ได้ เพื่อไม่ให้ผู้เสียหายต้องกลายเป็นคนวิ่งหาความยุติธรรมเอง
“ มันควรจะง่ายกว่านี้ อย่างน้อยผู้เสียหายควรเช็กคดีตัวเองได้เหมือนเช็กพัสดุ ว่าตอนนี้ถึงขั้นตอนไหน คืบหน้าอย่างไร … ในยุคที่ระบบทุกอย่างมันออนไลน์กันหมดแล้ว แต่ทำไมประชาชนยังต้องเดินไปมาโรงพักเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อน แม้แต่การสอบถามความคืบหน้าคดี ยังดูยากเหลือเกินที่เราจะมีโอกาสในการรู้ข้อมูลตรงนั้น ”
“เราก็แค่ประชาชนธรรมดา อยากรู้แค่ว่าคดีที่เราแจ้งไว้ มันยังอยู่ไหม…หรือมันหายไปแล้ว”
เรื่องราวของพีซ เป็นเพียงแค่ 1 ในผู้เสียหาย ที่เราได้มีโอกาสพูดคุย และสะท้อนให้เห็นถึงความจริงในมุมเล็กๆของระบบยุติธรรมไทย ที่ผู้เสียหายจำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม และต้องไล่ติดตามถามหาความยุติธรรมให้กับตัวเอง โดยไม่มีฐานข้อมูลกลาง ไม่มีระบบเปิดเผยความคืบหน้า และไม่มีใครบอกได้แน่ชัดว่าความยุติธรรมจะมาถึงตนเองเมื่อใด
เช่นเดียวกับบนโลกโซเชียล มีจำนวนไม่น้อยที่มีการพูดถึงความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมต่างๆ โดยเฉพาะการแจ้งความแล้วคดีความไม่มีความคืบหน้า เช่น เรื่องราวตลกร้าย จากกระทู้ที่มีผู้โพสต์บน เว็บไซต์ พันทิป ขอคำแนะนำว่าต้องทำอย่างไร เมื่อไปแจ้งความแล้วคดีไม่มีความคืบหน้า แม้พยายามติดตามถามความคืบหน้าของคดี แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากพนักงานสอบสวน
ผ่านมากว่า 10 ปี มีผู้เข้าไปถามความคืบหน้าจากเจ้าของกระทู้นั้น
และได้รับคำตอบว่า “ความคืบหน้ายังอยู่ใน 10 ปีที่แล้ว” 

จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าตัวเลขสถิติคดีอาชญากรรมในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะคดีฉ้อโกง ทั้งการหลอกซื้อขายสินค้า หลอกลงทุนหรือทำงาน และคดีเกี่ยวกับแกงค์คอลเซนเตอร์
แต่จาก Data งานวิจัยภาคประชาชน ของ ม.ธรรมศาสตร์ กลับพบว่ามีประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อจำนวนหนึ่ง เลือกไม่ไปแจ้งความ สาเหตุเพราะไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ทั้งมองว่ามีขั้นตอนยุ่งยาก การทำงานของเจ้าหน้าที่ล่าช้า รวมถึงมีความอับอายหากต้องไปแจ้งความ และมูลค่าความเสียหายของตนเองไม่มากนัก โดยมีผู้เสียหายจำนวนไม่น้อย เลือกที่จะหันไปพึ่งพาหน่วยงานอื่น เช่น ศูนย์ดำรงธรรม หรือเพจฮีโร่ และหน่วยงานภาคประชาชนต่างๆ
ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรม เคยยอมรับว่าปัญหาความล่าช้าในการทำคดี นอกจากหลายปัจจัย ทั้งคดีที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และอีกส่วนหนึ่งยังมาจากปัจจัยเรื่องของกำลังพล ทำให้แม้ สตช.จะมีระเบียบให้ประชาชนสามารถติดตามถามความคืบหน้าของคดีกับพนักงานสอบสวนได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว กลับพบว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะจำนวนของพนักงานสอบสวนที่มีในปัจจุบันไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับจำนวนคดีที่มีเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จนกลายเป็นภาระงานที่หนักและล้นของพนักงานสอบสวน ท่ามกลางความคาดหวังของประชาชน
ยุติธรรม “โปร่งใส-ไม่เหลื่อมล้ำ” : ตั้งเป้าหมาย…แต่ยังไปไม่ถึง
แม้รัฐธรรมนูญปี 2560 จะกำหนดให้รัฐต้องจัดระบบบริหารงานยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นธรรม และให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยง่าย แต่ข้อเท็จจริงทางปฏิบัติยังคงเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ การทำงานแบบแยกส่วน รวมถึงแต่ละหน่วยงานมีมาตรฐานการเปิดข้อมูลที่แตกต่างกัน เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีระบบสารสนเทศสถานีตํารวจ หรือ CRIMES เป็นระบบจัดการข้อมูลที่เกี่ยวกับคดีต่าง ๆ แต่จะมีแค่ตำรวจเท่านั้นที่ใช้งานระบบนี้ได้ ประชาชนไม่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้
ขณะที่ สํานักงานอัยการสูงสุด มี ระบบติดตามข้อมูลคดีเพื่อบริการประชาชน ที่เรียกว่า AGO Tracking ที่สามารถเรียกดูข้อมูล รายละเอียด สถานะของการดําเนินคดี กําหนดการนัดหมายของคดี รวมถึงได้ทราบสถานะความคืบหน้าของคดี แต่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นๆ จะสามารถใช้ได้แค่บางส่วนของระบบเท่านั้น และ สํานักงานศาลยุติธรรม มีระบบติดตามสํานวนคดี หรือ Tracking System ให้พนักงานอัยการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ทนายความ คู่ความ และประชาชน สามารถติดตามความเคลื่อนไหว หรือขั้นตอนต่าง ๆ ของสํานวนคดีที่ถูกส่งฟ้องศาลแล้ว โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และไม่ต้องลงทะเบียนแสดงตัวตน


ซึ่งการที่ผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าคดีของตนอยู่ในขั้นตอนใด ใช้เวลานานเท่าไหร่ และไม่รู้สิทธิตามกฎหมายที่พึงได้รับ การให้ข้อมูลสิทธิในปัจจุบัน จึงยังถูกมองว่าเป็น “กระบวนการยุติธรรมที่ดูดาย” คือ ภาครัฐขาดความกระตือรือร้นที่จะแจ้งสิทธิ และกฎหมายยังมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าใจได้ ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความยุติธรรมที่สะดวกและรวดเร็วอย่างแท้จริง
ระบบแจ้งความคืบหน้าคดี : ประโยชน์ทั้งประชาชน-เจ้าหน้าที่
ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม. พบว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา มีเรื่องร้องเรียนที่เข้ามาใน กสม.ทั้งหมด 1,027 เรื่อง
โดยมี 258 เรื่อง หรือร้อยละ 25 เป็นเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ส่วนเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น สิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย , สิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศชื่อเสียง ซึ่งเกี่ยวข้องจากการเสนอข่าวของสื่อหรือการดำเนินคดี
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า กสม. ให้ความสำคัญกับกระบวนการยุติธรรมที่รวดเร็ว บางเรื่องที่ไม่ซับซ้อน จะใช้วิธีการประสานไปซึ่งจะรวดเร็วกว่าและแก้ปัญหาได้ดีกว่า เช่น มีเรื่องร้องเรียนว่าคดีนี้ตำรวจโรงพักนี้ทำงานล่าช้า แทนที่จะตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบและให้ทุกฝ่ายชี้แจง หาผู้เชี่ยวชาญมาดูข้อกฎหมาย ซึ่งต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือนานกว่านั้น กสม.ก็จะใช้วิธีโทรศัพท์หรือทำหนังสือประสานแล้วขอให้เขาชี้แจงใน 30 วัน ซึ่งบางเคสเมื่อหน่วยงานผู้ถูกร้องรับทราบปัญหา ก็มีการแก้ไขให้เลย นอกจากนี้ กสม.เอง ได้มีการหารือกับ สตช. ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด เพื่อดูเรื่องความล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ก็สามารถประสานกับคณะทำงานชุดนี้ เพื่อขอรับทราบปัญหา อุปสรรค และความคืบหน้า ได้อีกช่องทางหนึ่ง เป็นการแก้ไขเชิงระบบไปในตัว

กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชี้ว่า หากจะมีการพัฒนาแอปพลิเคชั่น หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ให้ผู้เสียหายหรือผู้ถูกกล่าวหาสามารถติดตามความคืบหน้าในคดีความของตนเองได้นั้น โดยหลักการแล้วเรื่องนี้เป็นไปได้และถือเป็นแนวคิดที่ดี เพราะหากสามารถทำได้ จะทำให้ประชาชนได้รับทราบสถานะของคดีหรือสามารถติดตามได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการต่างๆ โปร่งใสยิ่งขึ้นด้วย จากการที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการติดตาม ตรวจสอบ
“ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ก็ไม่ต้องเสียเวลาในเรื่องของเอกสารหรือการชี้แจงเป็นรายกรณี ผู้บังคับบัญชาก็สามารถเข้ามากำกับหรือคอยดูแลได้ว่าเรื่องไปถึงไหนอย่างไร เท่าที่ทราบในเรื่องนี้คณะกรรมการบริหารงานด้านยุติธรรม เคยมีการพูดคุยกันเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ไม่ว่าตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ แต่ไม่ทราบว่าความคืบหน้าเรื่องนี้ไปถึงไหนอย่างไร อาจมีเรื่องเชิงเทคนิค ข้อมูลเป็นระบบเดียวกันหรือไม่ ทำอย่างไรจะปรับข้อมูลเป็นระบบเดียวกันและเชื่อมโยงข้อมูลร่วมกันได้ ”
นายวสันต์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่าในส่วนของ กสม. เอง มีระบบติดตามเรื่องร้องเรียน ให้ประชาชนเข้าไปตรวจสอบได้ ดูสถานะเรื่องของตนเองที่ร้องเรียนเข้ามาได้ โดยประชาชนผู้ร้องสามารถใช้เลขคำร้อง และใช้ ID Card เพื่อเข้าไปตรวจสอบได้ว่าตอนนี้เรื่องอยู่ที่ตรงไหน
“ หากมีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนสามารถติดตามและตรวจสอบได้ ปัญหาที่ประชาชนเคยร้องเรียนว่า เรื่องเงียบหายไป หรือสถานะคดีไม่รู้อยู่ตรงไหนอย่างไร หรือสถานะคลุมเครือต่างๆ ปัญหาตรงนี้ก็จะหายไปด้วย แต่ทั้งนี้อาจจะต้องมีการศึกษาดูว่าจะมีรายละเอียดอะไรที่เปิดเผยได้บ้าง เช่น รายละเอียดของคำร้องหรือการไปกล่าวหาใคร อันนี้เราก็ต้องถือว่าเขายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ข้อมูลบางอย่างก็อาจจะยังคงต้องปกปิดไว้ ” นายวสันต์ กล่าว
‘Open Data’ สร้างกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใส
นายสุภอรรถ โบสุวรรณ ผู้ร่วมก่อตั้ง HAND Social Enterprise หรือ แฮนด์ วิสาหกิจเพื่อสังคม ยกตัวอย่างในส่วนของศาล ว่าควรมีการเปิดเผยข้อมูลสถิติของศาลในแต่ละท้องที่ เช่น มีคดีอะไรบ้าง การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้จะมีประโยชน์อย่างมาก ไม่ว่าประชาชนจะเป็นโจทก์หรือจำเลย การขอคัดสำเนาหรือข้อมูลต่างๆ ต้องสามารถทำได้ง่ายกว่าปัจจุบัน และการดำเนินการต่างๆ ก็ควรปรับเป็น e-Service เพื่อให้เข้าถึงได้ง่าย เนื่องจากทุกวันนี้่โลกเราอยู่บนระบบอิเล็กทรอนิกส์แล้ว

ขณะที่ปัญหาการไม่เชื่อมต่อกันของฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆในกระบวนการยุติธรรม สะท้อนชัดเจนถึงการทำงานของภาคราชการไทยที่ ขาดมาตรฐานและขาดการบูรณาการร่วมกัน บางหน่วยงานทำได้ดีและล้ำหน้า แต่บางที่ก็ไม่มี ส่งผลให้ประชาชนสับสน
เช่น ศาลต่างๆ ควรมาตกลงกันว่าข้อมูลใดควรเปิด และพัฒนาระบบร่วมกันทีเดียวอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าการแยกเขียนฐานข้อมูล อาทิ คำตัดสินของศาล ซึ่งปัจจุบันใช้ชื่อย่อ เช่น “นาย ส.” หรือ “คุณ ด.” ทำให้ประชาชนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคม และใครกระทำความผิด ทั้งที่ประชาชนควรเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคม และไม่ใช่การประจาน แต่เป็นการให้ข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง
“ อย่างผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือข้าราชการระดับสูง บางตำแหน่งมีข้อกำหนดว่าห้ามทำผิดกฎหมาย หากใช้ชื่อย่อจะไม่มีใครช่วยตรวจสอบประวัติได้เลย เคยมีกรณีผู้สมัครได้รับการเลือกตั้งมาแล้วแต่ถูกตรวจพบและตัดสิทธิ์ในภายหลัง เนื่องจากเคยเป็นผู้ต้องคดีความอันเป็นลักษณะต้องห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งนั้น
หรือกรณีเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไปแจ้งความแล้วตำรวจแจ้งว่าจะติดต่อกลับ แต่ผ่านไปปีกว่าก็ไม่มีความคืบหน้า ทำให้ไม่รู้ว่ามีการดำเนินการไปถึงขั้นไหนหรือติดปัญหาอะไร ส่วนที่ตำรวจกังวลว่าหากเปิดเผยข้อมูลอาจกระทบการทำงานของเจ้าหน้าที่ หรือกระทบสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา เรื่องนี้ต้องมาดูที่คำว่า “เปิด” ว่าจะเปิดข้อมูลอย่างไร โดยต้องมีระดับชั้นของการเปิดเผยข้อมูล เช่น ผู้เสียหายควรเข้าถึงเรื่องของตนเองได้ แต่ข้อมูลอาจไม่จำเป็นต้องเป็นสาธารณะ ”
หลากปัจจัยทำ ‘Open Data’ เกิดยากในไทย : อะไรคือทางออก
นายสุภอรรถ ยังตั้งข้อสังเกตว่า อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ Open Data เกิดขึ้นได้ยากในประเทศไทย มาจากทั้ง เรื่องของทัศนคติจากผู้มีอำนาจ เช่น หากเจ้าหน้าที่ระดับสูงเป็นคนเปิดข้อมูล แล้วพบความผิดพลาดหรือการทุจริต สื่อจะโจมตีหน่วยงานนั้นทันที และผู้ที่เปิดจะโดนตำหนิจากภายในหน่วยงาน หรือเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เกษียณ ก็ไม่ต้องการให้เกิดเรื่องวุ่นวายในยุคสมัยของตน
นอกจากนี้ ข้อจำกัดด้านกฎหมาย เช่น พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารทางราชการ เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจ พิจารณาว่าข้อมูลใดเป็นภัยต่อประเทศชาติหรือความมั่นคง หากคิดว่า “เป็นภัย“ ก็สามารถปฏิเสธการให้ข้อมูลได้ การใช้ดุลยพินิจเช่นนี้มักนำไปสู่ความไม่แน่นอนและข้ออ้างที่หลากหลาย เช่น ข้อมูลส่วนบุคคล , ข้อมูลชั้นความลับ ซึ่งโดยสรุปควรมีการเข้าถึงข้อมูลได้ เพียงแต่ต้องมีการตกลงร่วมกันของสังคม ไม่ใช่แค่การตัดสินใจของเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น
และสุดท้าย คือความพร้อมที่ไม่เท่ากันของแต่ละหน่วยงาน เช่น สถานีตำรวจหลายแห่งยังต้องพึ่งพาการบริจาคคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ อย่างที่เห็นการขึ้นป้ายขอบคุณผู้บริจาคกันเต็มผนัง ซึ่งในมุมหนึ่งก็อาจทำให้เกิดปัญหาทางจริยธรรม เจ้าหน้าที่เกิดความเกรงใจหากผู้บริจาคเป็นผู้กระทำความผิด
“ รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณและบุคลากร เพื่อทำให้ระบบ Open Data เกิดขึ้นจริง โดยควรตั้งคณะกรรมการมาหารือเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลและกำหนดแพลตฟอร์มร่วมกัน เพราะหากมองอย่างเข้าใจแล้ว Open Data คือการเข้าถึงความจริงที่ประชาชนควรมีสิทธิในการรับรู้ ช่วยในการตรวจสอบ เพื่อป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น สร้างความโปร่งใส และยังสามารถใช้เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งได้อีกด้วย ไม่ได้มีไว้เพื่อเอาผิดอย่างเดียว ” นายสุภอรรถ กล่าวทิ้งท้าย
เรื่องโดย : ดารินทร์

 
 
									 
																	 
									 
																	 
									 
																	 
									 
																	 
									 
																	 
									