ข่าว
ตรวจสอบ ‘มูลนิธิ’ ก่อนบริจาค: นักวิชาการ มธ. แนะใช้ฐานข้อมูลรัฐชี้หากใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ฟ้องร้องเรียกคืนได้
 
																								
สำนักข่าวบริคอินโฟ – นักวิชาการด้านสังคมสงเคราะห์ศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ชี้แนะแนวทางในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของ “มูลนิธิ” ก่อนการบริจาคเงิน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น โดยระบุว่า ผู้บริจาคสามารถตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของมูลนิธิได้ผ่าน ฐานทะเบียนข้อมูลของกรมการปกครอง และ ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร ทั้งนี้ หากเป็นการบริจาคโดยเสน่หาจะไม่สามารถเรียกเงินคืนได้ เว้นแต่จะพบว่ามูลนิธินำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ที่ตกลงกันไว้ ผู้บริจาคมีสิทธิ์ ฟ้องร้อง เพื่อเรียกเงินคืนได้ทันที
รศ. ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยถึงประเด็นทางสังคมเกี่ยวกับการบริจาคเงินให้แก่ มูลนิธิ และกรณีที่ผู้บริจาคร้องขอเงินคืนเนื่องจากมูลนิธิไม่ได้ให้ข้อมูลที่ครบถ้วน โดยอธิบายตามหลักการว่า การบริจาคเงินให้แก่บุคคลหรือองค์กรใด ๆ ที่เป็นการให้โดย เสน่หา ผู้ให้จะไม่สามารถเรียกร้องเงินคืนได้ แต่หากภายหลังปรากฏว่าการใช้จ่ายเงินดังกล่าว ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ที่ได้ตกลงกันไว้ ผู้บริจาคสามารถรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อยื่น ฟ้องร้องต่อศาล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อขอเรียกคืนเงินบริจาคกลับมาได้
รศ. ดร.อัจฉรา กล่าวต่อไปว่า วัตถุประสงค์ในการใช้เงินบริจาคนั้นสามารถระบุได้ทั้งผ่านเอกสารที่เป็นทางการ หรือการสื่อสารผ่านช่องทาง โซเชียลมีเดีย ซึ่งหากพบการใช้เงินที่ผิดวัตถุประสงค์ ผู้บริจาคสามารถดำเนินการได้ทันที นอกจากนี้ หากผู้บริจาคถูกผู้รับบริจาค ประทุษร้าย หรือ กล่าวหาว่าร้าย จนเกิดความเสียหาย ผู้บริจาคก็สามารถเพิกถอนการบริจาคและเรียกร้องเงินคืนได้เช่นกัน เนื่องจากเข้าข่ายที่ผู้รับบริจาคมีความประพฤติ เนรคุณ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531
นักวิชาการจาก มธ. แนะนำว่า เพื่อความสบายใจในการบริจาคเงินให้แก่ มูลนิธิ ผู้บริจาคควรตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นก่อนเสมอ เช่น มูลนิธินั้น ๆ มีอยู่ใน ระบบฐานทะเบียนข้อมูล ของ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (Ministry of Interior) อย่างถูกต้องหรือไม่ โดยสามารถตรวจสอบได้ที่ว่าการอำเภอ หรือสำนักงานเขตที่มูลนิธิตั้งอยู่เพื่อขอตรวจสอบข้อมูลทะเบียน ซึ่งหากไม่พบข้อมูลในระบบ มีสิทธิ์เข้าข่ายการไม่จดทะเบียนหรือแอบอ้างชื่อ นอกจากนี้ องค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อการ สาธารณกุศล ที่มีความบริสุทธิ์ใจในการดำเนินการ ควรมีฐานข้อมูลอยู่ใน ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของ กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง (Ministry of Finance) ด้วย เนื่องจากระบบนี้ช่วยให้ผู้บริจาคได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี และยังสะท้อนว่ามูลนิธิมีระบบการทำบัญชีทรัพย์สินและยื่นต่อกรมสรรพากรอย่างถูกต้องชัดเจน
รศ. ดร.อัจฉรา เน้นย้ำว่า การโอนเงินเพื่อบริจาคให้แก่ มูลนิธิ ประชาชนไม่ควรไว้วางใจบุคคล หรือคำ โฆษณา ทาง โซเชียลมีเดีย เพียงอย่างเดียว เพราะปัจจุบันมีการหลอกลวงเป็นจำนวนมาก จึงต้องตรวจสอบวัตถุประสงค์ของมูลนิธิและมั่นใจในข้อมูลก่อนการโอนเงิน นอกจากนี้ หากประชาชนพบข้อมูลว่ามีมูลนิธิที่ดำเนินการเรียกรับเงินจากผู้เสียหายหรือผู้มาขอความช่วยเหลือ โดยไม่ได้เป็นการบริจาคแบบสมัครใจ สามารถรวบรวมหลักฐานเพื่อแจ้งต่อ กรมการปกครอง หรือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อเอาผิดได้ทันที
สุดท้าย รศ. ดร.อัจฉรา แสดงความเห็นว่า ระบบการจัดการ มูลนิธิ ในประเทศไทยควรมีความชัดเจนและมีการ เปิดเผย ข้อมูลบัญชีทรัพย์สิน ทั้งรายรับและรายจ่ายอย่างโปร่งใส เพื่อให้เกิด ธรรมาภิบาล โดยรัฐหรือเครือข่ายมูลนิธิควรมีการแต่งตั้ง คณะกรรมการจากภาคประชาชน เพื่อเข้ามาร่วมตรวจสอบด้วย พร้อมยกตัวอย่างระบบในต่างประเทศ โดยระบุว่า “มันจะมีบางมูลนิธิที่ตั้งขึ้นมาเพื่อ ฟอกเงิน เราจึงต้องมีการตรวจสอบเงินที่เข้ามายังมูลนิธิเพื่อให้มีความโปร่งใส อย่างเช่น ในประเทศ สหรัฐอเมริกา มูลนิธิจะต้องมีการยื่นแบบฟอร์ม 990 ต่อองค์กร IRS ซึ่งเป็นองค์กรทางด้านภาษีของอเมริกา และจะต้องมีการ เปิดเผยข้อมูล ต่อสาธารณะ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถค้นดูข้อมูลเหล่านี้ได้ทางอินเทอร์เน็ตโดยเปิดเผย เช่นเดียวกันกับระบบของ อังกฤษ ที่ได้จัดให้มีฐานข้อมูลออนไลน์ที่ประชาชนสามารถพิมพ์ชื่อองค์กรดูผลได้ทันที โดยอังกฤษ ให้ข้อมูลเปิดเผยทั้งวัตถุประสงค์องค์กร รายได้‐รายจ่ายรายชื่อกรรมการ และสถานการณ์จดทะเบียน สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ควรนำมาใช้กับประเทศไทย เพื่อสร้างให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ธรรมาภิบาล ให้กับมูลนิธิของไทย เหมือนกับตลาดหลักทรัพย์ที่บริษัทต่างๆ จะต้องเปิดเผยงบการเงินอย่างโปร่งใสเช่นกัน”

