ข่าว
เข้าใจเรื่องดอกเบี้ย: กุญแจสำคัญสู่การบริหารหนี้อย่างชาญฉลาด

สำนักข่าวบริคอินโฟ – ในยุคที่อัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การทำความเข้าใจเรื่อง ดอกเบี้ย ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งก่อนการตัดสินใจกู้ยืมเงิน หรือใช้บริการทางการเงินประเภทสินเชื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล หรือแม้แต่การใช้ บัตรเครดิต (Credit Card) การทำความเข้าใจกลไกของดอกเบี้ยจะช่วยให้ประชาชนสามารถบริหารจัดการภาระหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้สินในอนาคต

ดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินเรียกเก็บนั้นมีหลายรูปแบบ โดยหลัก ๆ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) และ ดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) ดอกเบี้ยคงที่เป็นอัตราที่ถูกกำหนดไว้ตายตัวตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดสัญญา ทำให้ผู้กู้สามารถวางแผนการผ่อนชำระได้อย่างแม่นยำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความแน่นอนทางการเงิน เช่น สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันอย่าง บัตรกดเงินสด (Cash Card) หรือสินเชื่อแบบมีหลักประกันอย่าง สินเชื่อบ้าน (Home Loan) และ สินเชื่อรถยนต์ (Car Loan) ในทางกลับกัน ดอกเบี้ยลอยตัวจะมีการปรับขึ้นลงตามสภาวะตลาดการเงิน ซึ่งอ้างอิงกับอัตรามาตรฐานของแต่ละสถาบันการเงิน เช่น MLR (Minimum Loan Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี, MOR (Minimum Overdraft Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ทั่วไป และ MRR (Minimum Retail Rate) สำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี ผู้ที่เลือกสินเชื่อประเภทนี้จึงต้องติดตามทิศทางดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีผลโดยตรงต่อยอดผ่อนชำระ
นอกจากประเภทของดอกเบี้ยแล้ว วิธีคิดดอกเบี้ย ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อภาระหนี้ โดยแบ่งออกเป็น Flat Rate (เงินต้นคงที่) และ Effective Rate (ลดต้นลดดอก) วิธีคิดแบบ Flat Rate มักใช้ในสินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อผ่อนชำระสินค้า โดยจะคำนวณดอกเบี้ยจากยอดกู้เต็มจำนวนตลอดอายุสัญญา แม้ว่าเงินต้นจะลดลง ดอกเบี้ยก็ยังคงคิดจากยอดเต็มที่กู้ไปตั้งแต่แรก ซึ่งแตกต่างจาก Effective Rate ที่มักใช้กับสินเชื่อบ้านหรือบัตรเครดิต โดยจะคำนวณดอกเบี้ยจากยอดหนี้คงเหลือในแต่ละงวด ทำให้เมื่อเงินต้นลดลง ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็ลดลงตามไปด้วย สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ ตัวเลข Flat Rate มักจะดูต่ำกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาระดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจสูงกว่ามาก ตัวอย่างเช่น Flat Rate 18% อาจเทียบเท่ากับ Effective Rate สูงถึง 32% ต่อปี

สำหรับ บัตรเครดิต (Credit Card) หากใช้อย่างมีวินัย จะเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ให้ความสะดวกสบาย แต่หากขาดการบริหารจัดการที่ดีก็อาจนำไปสู่ปัญหาหนี้สินได้ ก่อนสมัครบัตรเครดิต ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ดี และพึงระลึกเสมอว่าบัตรเครดิตคือ “เงินในอนาคต” ที่ต้องชำระคืนตามกำหนด โดยทั่วไปบัตรเครดิตจะมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยประมาณ 45-56 วัน แต่หากชำระล่าช้า หรือชำระไม่เต็มจำนวน (ขั้นต่ำอยู่ที่ 8% ของยอดค้างชำระ) ผู้ถือบัตรจะต้องรับผิดชอบดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในอัตรา Effective Rate ไม่เกิน 16% ต่อปี (รวมค่าปรับและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แล้ว) นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า จะคิดค่าธรรมเนียมในอัตรา 3% จากยอดที่เบิกพร้อมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% (ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568)
การทำความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ยอย่างถ่องแท้ และการมีวินัยทางการเงิน วางแผนการชำระหนี้ให้เหมาะสมกับรายได้ จะช่วยให้ประชาชนสามารถใช้สินเชื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างปลอดภัย และหลีกเลี่ยงการตกเป็นภาระหนี้ก้อนใหญ่ในอนาคต