ข่าว
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง-SCG 3D Printing ผนึกกำลังฟื้นฟูปะการัง นำร่องใช้งาน “เจดีย์เกลียวคลื่น” ต้นแบบจากโครงการประกวด

สำนักข่าวบริคอินโฟ – กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ร่วมกับ SCG 3D Printing พัฒนาและนำร่องการผลิต “ฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง Whirling Wave Pagoda หรือเจดีย์เกลียวคลื่น” ซึ่งเป็นผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากโครงการ ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025 โดยนำเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) มาใช้ในการสร้างสรรค์ เพื่อเตรียมจัดวางในพื้นที่นำร่องตามแผนงานอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลของไทยในปี 2569
นายอุกกฤต สตภูมินทร์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า โครงการ ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025 เป็นตัวอย่างที่ดีของการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนานวัตกรรมในการอนุรักษ์ทรัพยากรทะเลของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตปะการังฟอกขาวอย่างรุนแรงถึง 60-80% ทั้งในฝั่งอันดามันและอ่าวไทย การนำความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ผนวกกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย จะช่วยเร่งการฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลให้กลับมาอุดมสมบูรณ์และยั่งยืนได้
ผลงาน “Whirling Wave Pagoda หรือเจดีย์เกลียวคลื่น” จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้รับการพัฒนาให้เป็นต้นแบบจริง โดยออกแบบให้มีรูปทรงเกลียวคลื่นที่ช่วยบังคับทิศทางของกระแสน้ำใต้ทะเล ทำให้ตัวอ่อนปะการังลงเกาะได้ง่ายขึ้น มีพื้นที่ผิวสัมผัสมาก และมีช่องหรือโพรงเพื่อลดแรงต้านทานกระแสน้ำ ป้องกันการสะสมของตะกอน รวมถึงมีการนำเปลือกหอยเหลือทิ้งจากชาวประมงมาบดละเอียดผสมกับปูนมอร์ตาร์เพื่อเพิ่มสารเหนี่ยวนำการลงเกาะของตัวอ่อนปะการัง
นายเฉลิมวุฒิ สงวนญาติ Concrete and Construction Technology Director หน่วยงาน Innovation and Technology ธุรกิจ SCG Cement and Green Solutions กล่าวว่า เทคโนโลยี 3D Printing ของ SCG สามารถนำมาใช้ร่วมกับองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล เพื่อพัฒนาวัสดุฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการังได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพ อีกทั้งไม่ก่อให้เกิดมลภาวะในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของ SCG ในการเติบโตอย่างยั่งยืน
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เตรียมนำร่องจัดวางวัสดุฐานลงเกาะ “เจดีย์เกลียวคลื่น” ในช่วงต้นปี 2569 ใน 7 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่ 14 ไร่ พร้อมร่วมมือกับนักวิชาการในการศึกษาวิจัยและติดตามผลประสิทธิภาพของการลงเกาะและการเจริญเติบโตของตัวอ่อนปะการัง หากผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย จะมีการขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ และสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวเชิงนิเวศต่อไป นอกจากนี้ยังมีแผนนำเสนอผลงานและแนวทางนี้แก่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประสบปัญหาคล้ายกันด้วย
นายอุกกฤต เสริมว่า “สิ่งที่ทำให้โครงการนี้แตกต่าง คือการมองไปข้างหน้าอย่างมีกลยุทธ์ ทช. ไม่ได้มองแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่กำลังสร้างระบบการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะลที่ปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพระบบนิเวศทางทะเลซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรากำลังสู้กับการปรับตัวของธรรมชาติและการเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางทะเลอย่างต่อเนื่องโดยหากเราไม่เร่งดำเนินการตอนนี้ อนาคตเราอาจไม่ได้เห็นความสวยงามของแนวปะการังไทย ที่จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบนิเวศทางทะลของชาติ ทั้งนี้ การนำเอาเทคโนโลยีต่างๆ เช่น 3D Printing มาร่วมออกแบบพัฒนาโครงสร้างฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง ทำให้เราสามารถปรับได้หลากหลายมิติ รวมถึงรูปแบบให้เหมาะสมกับสภาพระบบนิเวศในแต่ละพื้นที่ เช่น ความลึก ความแรงและทิศทางของกระแสน้ำ การจมตัวของชิ้นงาน อุณหภูมิ ซึ่งสามารถต่อยอดพัฒนากับเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลงเกาะของตัวอ่อนปะการัง การติดตามวัดผลได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อคืนความสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลได้อย่างยั่งยืน”