ข่าว
ตลาดหุ้นไทยครึ่งหลังปี 2568 ทรีนีตี้มอง 1,000 จุดยังรับอยู่ หากเผชิญปัจจัยการเมืองในประเทศและภาษีทรัมป์
สำนักข่าวบริคอินโฟ – บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ (Trinity Securities) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวของ ดัชนี SET Index ที่ระดับ 1,050-1,180 จุด แต่หากมีปัจจัยไม่คาดคิด เช่น ความผันผวนทางการเมืองในประเทศ หรือผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของนายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ดัชนีที่ระดับ 1,000 จุด ก็ยังคงเป็นแนวรับสำคัญที่สามารถรองรับสถานการณ์ได้ นอกจากนี้ ทรีนีตี้ยังแนะนำกลยุทธ์ลงทุน ทองคำ แบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) บริเวณ 3,300-3,120 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ และคาดว่า ค่าเงินบาท มีโอกาสฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ว่าขึ้นอยู่กับความชัดเจนของปัจจัยการเมืองภายในประเทศ และการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา (United States) กับประเทศคู่ค้าต่างๆ หากประธานาธิบดีทรัมป์ให้เวลาในการเจรจาถึงวันที่ 1 สิงหาคม บรรยากาศการลงทุนโดยรวม (Risk Sentiment) ทั่วโลกจะยังคงได้รับการประคับประคอง แต่ในทางกลับกัน หากสหรัฐฯ ไม่พอใจกับข้อตกลงการค้า และยกระดับการเก็บ ภาษีการค้า จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นในแต่ละประเทศ โดยความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับอัตราภาษีที่เรียกเก็บ
นายณัฐชาต กล่าวเพิ่มเติมว่า หากมองตลอดช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จุดต่ำสุดเดิมของ SET Index ที่ 1,050 จุด จะยังคงเป็นแนวรับสำคัญ ตราบใดที่อัตราภาษีศุลกากรที่ไทยถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บไม่เกิน 36% และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณปี 2569 ยังไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกเลื่อนการพิจารณาหรือถูกตีตกไป อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาการค้าไม่คืบหน้าจนไทยถูกเก็บภาษีสูงกว่า 36% หรือร่าง พ.ร.บ.งบประมาณมีความเสี่ยงมากขึ้น เช่น รัฐบาลกลับมามีเสียงข้างน้อย มีการยุบสภาก่อน หรือมีการทำรัฐประหาร แนวรับสำคัญของ SET Index อาจถูกกดดันลงไปที่ระดับ 1,000 จุดได้
สำหรับเสถียรภาพทางการเมืองในปัจจุบัน นายณัฐชาตมองว่ายังไม่มีความเสี่ยงมากนัก แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องและให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่การบริหารงานยังคงดำเนินต่อไปได้ด้วยคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ การเมืองอาจยังคงมีผลกระทบอยู่บ้าง แต่ตราบใดที่สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ยังคงทำงานต่อไปโดยมี พ.ร.บ.งบประมาณ เป็นที่ตั้ง ผลกระทบจะเป็นเพียงแค่ Noise ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่น (Sentiment) เท่านั้น และหากยังไม่มีการยุบสภาในช่วงนี้ จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น เนื่องจากเสถียรภาพของรัฐบาลน่าจะส่งผลบวกต่อการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่ากรณีที่เป็นรัฐบาลรักษาการ หากเสียงปริ่มน้ำของรัฐบาลที่ประมาณ 260 เสียงยังคงดำรงอยู่ได้ เสถียรภาพของรัฐบาลชุดนี้น่าจะยังคงไปต่อได้ โดยจุดชี้ชะตาสำคัญคือช่วงของการโหวตกฎหมายสำคัญในสภา เช่น ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 เป็นต้น
นายณัฐชาต ประเมินแนวโน้มการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปีนี้ที่ประมาณ 2% เนื่องจากช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เศรษฐกิจไทย ได้แรงหนุนจากการส่งออกที่มีการเร่งตัว (Frontload) จากคำสั่งซื้อที่เข้ามาล่วงหน้าก่อนจะมีความไม่แน่นอนด้านภาษีการค้า อย่างไรก็ตาม หาก จีดีพีไทย จะเติบโตไม่ถึง 2% อาจเกิดจาก 2 ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การประกาศเก็บ ภาษี Reciprocal tariff ของสหรัฐฯ ต่อประเทศไทยในระดับสูง เช่น 20% ขึ้นไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ หุ้นกลุ่มส่งออก และ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และการพัฒนาการของปัจจัยการเมืองไทยที่เป็นไปในทิศทางเชิงลบมากขึ้นจนส่งผลต่อไทม์ไลน์ของ พ.ร.บ.งบประมาณ หากการใช้จ่ายภาครัฐยังคงหยุดชะงัก จะทำให้เศรษฐกิจไทยมี Downside ที่กว้างขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ หุ้นกลุ่ม Domestic ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและการลงทุน
โดยสรุปแล้ว ทรีนีตี้ประเมินกรอบการแกว่งตัวของ SET Index ในช่วงที่เหลือของปี 2568 ที่ 1,050-1,180 จุด ส่วนในกรณีที่มีปัจจัย Surprise ทั้งในฝั่ง Upside และ Downside กรอบการลงทุนอย่างกว้างจะอยู่ที่ 1,000-1,270 จุด พร้อมแนะนำกลยุทธ์ “ขึ้นขาย – ลงซื้อ” ตามกรอบดัชนีแนวต้าน-แนวรับที่กำหนดไว้ สำหรับกระแสเงินทุน (Fund Flow) จากต่างประเทศ ทรีนีตี้มองว่าเม็ดเงินจากกลุ่มกองทุน Active funds อาจจะยังเข้ามาได้ยาก เนื่องจากปัจจัยกระตุ้นทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการเติบโตของผลกำไรยังไม่ชัดเจนนัก แม้ Valuation ของตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในระดับต่ำก็ตาม อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเม็ดเงินจากกองทุน Passive funds อาจพอคาดหวังได้ หากตลาดหุ้นไทยเริ่มหยุดการปรับตัว Underperform เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นอื่นได้ โดยล่าสุดน้ำหนักของหุ้นไทยในดัชนี MSCI EM ได้ปรับลดลงต่ำกว่า 1% เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
กลุ่มหุ้นแนะนำประจำไตรมาส 3 นี้ หากประเมินว่าไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง และ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 จะผ่านการพิจารณาไปตามกำหนด ทรีนีตี้มองว่า หุ้นกลุ่ม Domestic ที่ราคาปรับตัวลงมาแรงมีความน่าสนใจ แต่เพื่อความปลอดภัย จึงแนะนำเลือกหุ้นที่มีคุณลักษณะ Defensive ก่อน ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสื่อสาร โรงพยาบาล ค้าปลีกจำเป็น และ โรงไฟฟ้า โดยเลือกผู้เล่นรายใหญ่ (Big Player) ที่ครอง Market share ในระดับสูง มี Valuation ปัจจุบันอยู่ในโซนต่ำ และบางตัวยังเห็นการปรับเพิ่มประมาณการกำไรสวนทางกับตลาด และมี Upside potential จากราคาเป้าหมาย Consensus สูงสุดใกล้เคียงกับระดับประวัติการณ์ หุ้น Top pick ที่เลือกมาสำหรับการลงทุนประจำไตรมาส 3 ได้แก่ ADVANC, BDMS, CPALL และ GULF
ด้านนายกมลชัย พลอินทวงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ราคาทองคำโลก ไม่ควรหลุดแนวรับที่ 3,120 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ แต่หากหลุดลงมา Downside จะเปิดไปที่แนวรับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ +/- โดยแนะนำให้นักลงทุนลงทุนแบบ DCA ทองคำ ที่บริเวณ 3,300-3,120 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ และคาดว่าแนวต้านของทองคำโลกปลายปีนี้จะอยู่ที่บริเวณ 3,500 – 3,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ สำหรับ ราคาทองคำไทย นายกมลชัย มองว่า Under-perform ทองคำโลกมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว หากจะลงทุนให้กรอบแนวรับที่ 49,000-50,000 บาท และกรอบแนวต้านที่ 54,450-56,700 บาท ทั้งนี้ หากเทียบราคาทองคำโลกเป็นทองคำไทย จะต้องพิจารณาถึง ค่าเงินบาท ณ เวลานั้นด้วย
นายเดชธนา ฟางสะอาด ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวถึงเงื่อนไขสำคัญในการฟื้นตัวของ SET50 ในครึ่งปีหลัง และแนวโน้มการ Rebound ของ ค่าเงินบาท ว่า มองครึ่งปีหลังดัชนี SET50 Index มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัว และมีโอกาสกลับเข้าสู่ทิศทางขาขึ้นอีกครั้ง โดยมีสัญญาณยืนยันคือการที่ดัชนีสามารถทะลุแนวต้านสำคัญ (Breakout) บริเวณ 740 จุดขึ้นไปได้อย่างแข็งแกร่ง เงื่อนไขสำคัญสำหรับภาพการฟื้นตัวนี้ คือดัชนีไม่ควรสร้างจุดต่ำสุดใหม่ (New Low) ที่ต่ำกว่าบริเวณ 685 จุด เพื่อรักษากรอบ และโมเมนตัมเชิงบวก สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวหลักในระยะกลาง คาดว่าจะอยู่ในช่วง 665-805 จุด กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้หาจังหวะเข้าซื้อ (Long) เมื่อมีสัญญาณการกลับตัวขึ้น ณ บริเวณแนวรับที่สำคัญ ทั้งนี้ คาดว่า SET50 Index Futures จะมีทิศทางการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกัน
ด้านภาพรวมและกลยุทธ์ USD/THB นายเดชธนามองว่า ค่าเงินบาท ในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มที่จะเกิดการฟื้นตัวทางเทคนิค (Rebound) โดยมีโอกาสปรับตัวขึ้นเพื่อทดสอบโซนแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 34.50 – 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งหากผ่านไปได้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มการอ่อนค่าระลอกใหม่ เงื่อนไขสำคัญของภาพการฟื้นตัวนี้ คืออัตราแลกเปลี่ยนไม่ควรปรับตัวลงไปต่ำกว่าฐานแนวรับสำคัญที่บริเวณ 32.10 – 32.20 บาท สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินทิศทาง ค่าเงินบาท ควรพิจารณาแนวโน้มของ ดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) และ ราคาทองคำ ควบคู่กันไป เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของ USD/THB อย่างมีนัยสำคัญ
