Connect with us

บทความ

ทำไม ‘วัคซีนโควิด-19’ ต่างแบรนด์ ถึงเทียบกันตรงๆ ไม่ได้?

Published

on

เปรียบเทียบวัคซีนโควิด-19

ปัจจุบันมี “วัคซีนโควิด-19” หลายบริษัทที่เริ่มมีการซื้อขายเพื่อฉีดให้กับประชาชนประเทศต่างๆ ซึ่งมักจะมีข้อมูลนำเสนอว่า “วัคซีน” แต่ละบริษัทมีประสิทธิภาพต่อการป้องกันไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ต่างๆ ได้กี่เปอร์เซ็นต์ จนมีการจัดอันดับประสิทธิภาพของวัคซีน-19 ซึ่งมีส่วนทำให้ความนิยมต่างกันออกไป

ทว่า ข้อมูลเหล่านี้อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น 100% เนื่องจากพบข้อมูลว่านักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวถึงการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของวัคซีนแต่ละบริษัท ว่าในความเป็นจริงแล้วไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้โดยตรง 

เพราะการทดลองวัคซีนจำเป็นต้องอาศัยหลายปัจจัยที่จำเป็นจะต้องควบคุม ให้เป็นแบบเดียวกันทั้งหมด จึงจะสามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพของวัคซีนแต่ละชนิดได้โดยเป๊ะๆ ว่าบริษัทไหนมีประสิทธิภาพมากกว่าบริษัทไหนบ้าง

Advertisement
ภาพ : VOX

เบื้องต้นการ การพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จะใช้การทดสอบทั้งหมด 3 ระยะ

  • ระยะที่ 1 เพื่อศึกษาความปลอดภัยและปริมาณวัดซีนที่ใช้ โดยจะทำการทดสอบวัคซีนในอาสาสมัครจำนวนหลักสิบคน
  • ระยะที่ 2 เป็นการขยายการทดสอบในอาสาสมัครจำนวนหลักร้อยถึงหลักพันคน เพื่อยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน
  • ระยะที่ 3 เป็นการทดสอบประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อในอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีน และติดตามอาการอันไม่พึงประสงค์ โดยเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (Placebo) ซึ่งต้องทดสอบในอาสาสมัครจำนวนหลายหมื่นคน

ซึ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการทดลองประสิทธิภาพวัคซีน เช่น ช่วงเวลาในการทดลอง พื้นที่ในการทดลอง สายพันธุ์ของโควิด-19 จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ทดลอง สุขภาพของผู้ที่เป็นอาสาสมัคร ฯลฯ

หมายความว่าหากไม่ได้ควบคุมตัวแปรต่างๆ ให้เหมือนกันทุกอย่างได้ ก็เป็นเรื่องยากที่จะเปรียบเทียบตัวเลขประสิทธิภาพวัคซีนกันตรงๆ 

ตัวอย่างช่วงเวลาการทดลองวัคซีน ที่มีผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีน

เช่น การศึกษาของ Moderna และ Pfizer / BioNTech เสร็จสิ้นการลงทะเบียนผู้เข้าร่วมในการทดลองระยะที่ 3 ในเดือนตุลาคมและรายงานผลในปลายเดือนพฤศจิกายน ส่วนการทดลองใช้จอห์นสันแอนด์จอห์นสันเฟส 3 เสร็จสิ้นการลงทะเบียนผู้เข้าร่วมในเดือนธันวาคม 2020 และรายงานผลในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นคนละช่วงเวลาของการแพร่ระบาด นัยยะที่ซ่อนอยู่คือมีความรุนแรงของการแพร่ระบาดที่แตกต่างกันตามไปด้วย

นั่นหมายความว่า วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ได้รับการทดสอบระหว่างขั้นตอนที่รุนแรงที่สุดช่วงหนึ่งของการระบาดเมื่อการแพร่เชื้อผู้ป่วยและการรักษาในโรงพยาบาลอยู่ในระดับที่เลวร้ายที่สุดในหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกา 

Advertisement

ขณะเดียวกันในระหว่างการทดลองสายพันธุ์ของ SARS-CoV-2 หรือไวรัสที่ทำให้เกิด โควิด-19 ยังมีหลายสายพันธุ์ และกลายพันธุ์ได้ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าโควิด-19 แนวโน้มที่จะหลบเลี่ยงการป้องกันจากวัคซีนและภูมิคุ้มกันก่อนหน้านี้ได้ด้วย

ตัวอย่างการทดลองระยะที่ 3 ที่มีผลต่อตัวเลขประสิทธิภาพวัคซีน

ข้อมูลจาก VOX ยกตัวอย่างการทดลองวัคซีนของ Pfizer กับกลุ่มตัวอย่าง 43,000 คน โดยมีจำนวนคนติดเชื้อ 170 คน

ตามหลักขั้นตอนการทดลองวัคซีนระยะที่ 3 หากแบ่งจำนวน 170 คนนี้ออกมาเท่า ๆ กัน ไปอยู่กลุ่มยาหลอก 85 คน กลุ่มที่รับวัคซีน 85 คน จะถือว่าคนที่รับวัคซีนกับไม่ได้รับวัคซีน มีแนวโน้มที่จะป่วยเท่ากัน ประสิทธิภาพของวัคซีนจึงจะเท่ากับ 0%

Advertisement

แต่ถ้าผู้ติดเชื้อ 170 คนนี้อยู่กลุ่มยาหลอกทั้งหมด ไม่อยู่ในกลุ่มคนที่รีบวัคซีนเลย จะถือว่าวัคซีนตัวนี้มีประสิทธิภาพ 100%

แต่จากการทดลองของ Pfizer ที่มีผู้ติดเชื้อ 170 คน จำนวนผู้ป่วย 162 คนอยู่ในกลุ่มยาหลอก และ 8 คน อยู่ในกลุ่มที่รับวัคซีน ประสิทธิภาพของวัคซีนจึงออกมาเป็น 95%

ซึ่งตัวเลข 95% นี้ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ ฉีดวัคซีนจำนวน 100 คน จะ ไม่ติดโควิด-19 จำนวน 95 คนตามตัวเลขประสิทธิภาพที่ระบุไว้ แต่ตัวเลขนี้ บ่งบอกว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนจะลดอาการป่วยได้ถึง 95% เมื่อเทียบกับการไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย

Advertisement

อย่างไรก็ตามวัคซีนแต่ละบริษัทใช้วิธีนี้ในการทดลองประสิทธิภาพของวัคซีนเหมือน แต่การทดลองวัคซีนของแต่ละบริษัททดลองในต่างสถานการณ์ ต่างช่วงเวลากันมาก ซึ่งทำให้ไม่สามารถนำตัวเลขประสิทธิภาพวัคซีนของแต่ละบริษัทเหล่านี้มาเปรียบเทียบกันโดยตรงได้ ตามที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้

ดังนั้น การเปรียบเทียบโดยตรงระหว่างวัคซีน Johnson & Johnson กับวัคซีนจาก Moderna และ Pfizer / BioNTech หากทำในช่วงเวลาที่ต่างกัน จึงยากที่จะบ่งชี้ประสิทธิภาพโดยตรงได้

หรือหากต้องการเปรียบเทียบอาจต้องระมัดระวังเพื่อทำความเข้าใจความแตกต่างของวิธีการในการทดลองและปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเข้าไปด้วย

Advertisement

อย่างไรก็ตาม ความกังวลที่เกิดขึ้นคือวัคซีน Covid-19 จะรักษาได้ดีเพียงใดเนื่องจากไวรัส SARS-CoV-2 ยังคงกลายพันธุ์และมีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น ขณะนี้ผู้ผลิตวัคซีนกำลังตรวจสอบปริมาณบูสเตอร์และการปรับเปลี่ยนภาพของพวกเขาเพื่อต่อต้านไวรัสรุ่นใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น จึงไม่ได้หมายความว่าตัวเลขประสิทธิภาพที่ปรากฏเมื่อวาน มีประสิทธิภาพเท่าเดิมเมื่อปัจจัยต่างๆ เปลี่ยนไป

แต่ที่สำคัญ ณ เวลานี้ทางออกของวิกฤติโควิด-19 ที่เป็นไปได้มากที่สุด คือการรับ “วัคซีน” ทุกคน หากมีโอกาสได้รับวัคซีนไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ไหนก็ตาม ที่เหมาะสมกับช่วงวัยและสุขภาพของเรา น่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยลดการแพร่กระจายของไวรัสโคโรน่า ทวงคืนวิถีชีวิตปกติ เศรษฐกิจ และความสุขของคนทั้งโลกได้อีกครั้ง

เรื่องโดย : ปณิดดา เกษมจันทโชติ
อ้างอิง : [1] [2] [3]

Advertisement