ข่าว
สกสว.ผนึกเชียงราย เปิดแพคเกจวาระแห่งชาติ โซ่ข้อกลางจัดทัพสู้ภัยพิบัติ 3 วิกฤตใหญ่ ‘น้ำ–แผ่นดินไหว–สารพิษแม่น้ำกก’
สกสว.ผนึกจังหวัดเชียงราย กางแผน ววน. สู้ภัยพิบัติ 3 ประเด็นใหญ่ “วิกฤตน้ำ–แผ่นดินไหว–สารพิษแม่น้ำกก” รับบท ‘โซ่ข้อกลาง’ รวมแพ็กเกจวาระแห่งชาติ พร้อมผลักดันเชียงรายสู่โมเดลจังหวัดต้นแบบ การจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืนด้วยองค์ความรู้และเทคโนโลยี เพื่อลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินให้ได้มากที่สุด
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) นำโดย ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. ร่วมกับนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แถลงข่าวทิศทางการใช้ระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) เพื่อรับมือและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติในพื้นที่จังหวัดเชียงรายอย่างบูรณาการ โดยมุ่งเน้นแพคเกจวาระแห่งชาติใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การแก้ปัญหาน้ำท่วม / น้ำแล้ง การสร้างองค์ความรู้ด้านแผ่นดินไหว และปัญหาเร่งด่วนคือ สารพิษในแม่น้ำกก พร้อมผลักดันให้เชียงรายเป็นต้นแบบการจัดการภัยพิบัติด้วยองค์ความรู้และเทคโนโลยี
ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวย้ำถึงบทบาทหลักของ สกสว. ว่าเป็น “โซ่ข้อกลาง” ที่สำคัญในการขับเคลื่อนระบบ ววน. เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงการทำงานเพื่อป้องกันและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในจังหวัดเชียงราย ซึ่งมุ่งเน้น 3 ปัญหาหลัก คือ น้ำท่วม-น้ำแล้ง การป้องกันและสร้างองค์ความรู้ด้านแผ่นดินไหว และสารพิษในแม่น้ำกกที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการเป็นอย่างมากในขณะนี้ ทั้งนี้ จะต้องถ่ายทอดองค์ความรู้ เสริมอาวุธให้กับประชาชน และช่วยกันเป็นพี่เลี้ยงให้คนที่อยู่หน้างานเตรียมพร้อมสำหรับการแก้ปัญหา รับมือภัยพิบัติ สร้างทักษะที่จำเป็นให้ทุกภาคส่วนและประชาชนมีความพร้อมและปลอดภัยจากภัยพิบัติ เพื่อเป็นส่วนสำคัญในการต่อยอดจากระบบ ววน. สู่การปฏิบัติของจังหวัดเชียงรายต่อไป โดยมีปัญหาของพื้นที่เป็นตัวตั้ง

“สกสว. ได้หารือร่วมกับจังหวัดเชียงรายและภาคส่วนต่าง ๆ ถีงข้อตกลงเกี่ยวกับวิธีการทำงานร่วมกัน โดยมี สกสว. ในฐานะเลขานุการของกองทุน ววน. จะทำหน้าที่เชื่อมโยงหน่วยนโยบายและหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ พร้อมนำองค์ความรู้ที่มีอยู่มาสร้างแพลตฟอร์มให้ประชาชนนำไปใช้ประโยชน์ ทั้งการจัดการสารพิษแม่น้ำกก ซึ่ง สกสว. ได้สนับสนุนข้อมูลจากกรมประมง งานวิจัยสารพิษ และการซื้อขาย เพื่อสร้างแอปพลิเคชัน “ปลาปลอดภัย” ที่ประชาชนสามารถสแกนเพื่อรับรู้ระดับสารปนเปื้อนในลำน้ำสาขา รวมถึงข้อมูลว่าจะสามารถบริโภคปลาชนิดใดได้อย่างปลอดภัยหรือมีความเสี่ยง เพื่อสร้างความมั่นใจในการบริหารจัดการสารพิษในแม่น้ำ นอกจากนี้จะขับเคลื่อนการทำงานแบบบูรณาการโดยกำหนดทิศทางและนโยบายของกองทุน ววน. รวมถึงจัดทำแผนปฏิบัติการกลางแบบบูรณาการ (One Plan One Map) ประสานงานกับทุกภาคส่วน เพื่อปฏิบัติการอย่างรวดเร็วและทันท่วงที โดยตั้งงบประมาณเพื่อการรับมือภัยพิบัติทั้งการสร้างองค์ความรู้และหน้างานไม่ต่ำกว่าพันล้านบาทต่อปี เพื่อป้องกันการสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนไทย” ศ. ดร.สมปองกล่าว
ขณะที่ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายประสบปัญหาภัยพิบัติต่าง ๆ ค่อนข้างมาก ทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง แผ่นดินไหว และสารปนเปื้อนในลำน้ำต่าง ๆ ซึ่งแผนเตรียมการป้องกันที่ผ่านมายังไม่สมบูรณ์ คณะวิจัยได้นำประเด็นเหล่านี้ไปศึกษาวิจัยเพื่อเป็นข้อมูลทางวิชาการของเชียงรายและขยายสู่ระดับภาคเหนือ ซึ่งจังหวัดจะนำมาเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการภัยเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวบรวมเข้าสู่ศูนย์ข้อมูล PDOSS หรือ ศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติ เพื่อให้การบริหารงานในปีต่อไปมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ระบบแจ้งเตือนภัยของ ปภ. ผ่าน Cell Broadcast ครอบคลุมเกือบทุกภัยแล้ว แต่หากจังหวัดมีระบบแจ้งเตือนภัยของเราเองจะใกล้ชิดและเข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น ซึ่งมูลค่าความเสียหายจากน้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้นประเมินไว้สูงถึง 3 พันกว่าล้านบาท และอาจเกินแสนล้าน หากรวมสิ่งปลูกสร้างและถนนหนทางทั้งหมด

ด้าน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เผยถึงการบูรณาการร่วมกับนักวิจัยและ สกสว. ทำให้เห็นภาพ One Plan One Map ที่นำไปสู่การวิจัยสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ และจัดทำแผนแก้ไขปัญหาส่งให้ภาครัฐแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน โดย อบจ.จะนำแผนภาพรวมนี้ไปจัดทำ Master Plan ระดับจังหวัด เพื่อนำส่งต่อภาครัฐในการจัดสรรงบประมาณได้อย่างถูกต้อง และนำข้อมูลส่งต่อให้พี่น้องประชาชนผ่านศูนย์ PDOSS ที่ อบจ. ร่วมดำเนินการกับจังหวัดผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อการแจ้งเตือนภัย การดูแล และการเยียวยาอย่างทันท่วงที พร้อมกับว่า งบประมาณของ อบจ. มีจำกัด ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาทั้งหมดอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องบูรณาการกับหน่วยงานอื่น และการทำงานภายใต้ศูนย์ PDOSS ร่วมกับจังหวัดและท้องถิ่นทั้งหมด เพื่อประมวลภาพรวมกลับไปปรากฏในแอปพลิเคชันที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้
ในส่วนของภาควิชาการ ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย กล่าวถึงเหตุการณ์น้ำท่วมปลายปี 2567 ว่าตนได้นำวิศวกรอาสาเข้าสำรวจพื้นที่พบว่ามีความเสียหายของอาคารบ้านเรือนกว่า 1,700 หลัง และช่วยให้การเบิกจ่ายเงินเยียวยาเป็นไปอย่างทันท่วงที แต่สิ่งที่ต้องเรียนรู้คือรูปแบบความเสียหายจากภัยพิบัติ เพื่อปรับปรุงยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างให้ทนทานต่อน้ำ รวมถึงมีระบบเตือนภัยจากข้อมูลที่ดี และมีเซนเซอร์ตรวจจับที่ช่วยให้ชี้เป้าได้ ซึ่งเชียงรายจะเป็นต้นแบบให้หน่วยงานวิจัยออกทุนที่เหมาะสมกับพื้นที่
รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงานการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรมตามเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง กล่าวเสริมว่า แม้จะมีแผนแม่บททรัพยากรน้ำที่ สทนช. ดำเนินการอยู่ แต่การวิจัยจะเข้ามาเสริมให้การแก้ปัญหาครบวงจร โดยเฉพาะการพยากรณ์ล่วงหน้า ซึ่งปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วมอาจเกิดถี่ขึ้น แต่แผ่นดินไหวอาจเกิดในอีก 50 ปี ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องถูกกำหนดทิศทางและวงเงินควบคู่กับโอกาสที่จะเกิดภัยพิบัติภายใต้ขอบเขตที่ ววน. จะสามารถนำไปขับเคลื่อนได้ เพื่อป้องกันอุบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ผู้อำนวยการ สกสว. พร้อมคณะผู้บริหาร ยังได้นำสื่อมวลชนลงพื้นที่ เพื่อติดตามการเสริมกำลังและการติดตั้งอุปกรณ์เตือนภัยแผ่นดินไหว ในอาคารเรียนของโรงเรียนชุมชนบ้านป่าก่อดำ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย พัฒนาโดย ผศ. ดร.ประกิต ชมชื่น และ อ.วัฒนพงศ์ หิรัญมาลย์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร สามารถแจ้งเตือนความเสียหายของอาคารได้ภายใน 3 วินาทีหลังแผ่นดินไหว และมีแบตเตอรี่สำรองทำงานได้ 6 ชั่วโมงกรณีไฟดับ โดยโรงเรียนแห่งนี้มีการซักซ้อมอพยพหนีภัยทุกปีร่วมกับ ปภ. และล่าสุดได้รับการประเมินจากญี่ปุ่นผ่าน สพฐ. ให้เป็นโรงเรียนต้นแบบ 1 ใน 10 แห่งทั่วประเทศที่ผ่านเกณฑ์สากล โดยทีมนักวิจัยมองว่า จุดที่มีความเสี่ยงจากเหตุแผ่นดินไหว คือ โรงเรียน และโรงพยาบาล ควรได้รับการติดตั้งระบบเตือนภัยก่อนเนื่องจากเป็นอาคารที่มีกลุ่มเปราะบางเป็นผู้ใช้อาคาร ส่วนอาคารของภาคเอกชน อาจต้องเป็นไปตามนโยบายของแต่ละอาคารเนื่องจากมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องติดตั้งระบบแจ้งเตือน

นอกจากนี้คณะของ สกสว. ยังเดินทางไปดูการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วม ที่สถานีเรดาร์ติดตามปริมาณฝน สถานีอุตุนิยมวิทยาเชียงราย ซึ่งคาดการณ์ฝนล่วงหน้าได้ 3-12 ชั่วโมง และแจ้งเตือนผ่านไลน์กลุ่มหัวหน้าส่วนงานในจังหวัดเพื่อกระจายข้อมูลสู่ประชาชน ข้อจำกัดในการทำงานคือต้นน้ำแม่น้ำกกอยู่ในประเทศเมียนมา ไม่สามารถติดตั้งเครื่องมือวัดได้ และต้องใช้เรดาร์วัดน้ำฝนเพื่อแปลข้อมูลเป็นน้ำฝน-น้ำท่า ในปี 2568 นักวิจัยทีมน้ำมั่นคงฯ ร่วมงานกับจังหวัดพัฒนากระบวนการเตือนภัย โดยเฉพาะช่วยชุมชนบนพื้นที่สูงรับมือน้ำท่วมฉับพลันได้ดีขึ้น
การลงพื้นที่ จ.เชียงราย ครั้งนี้ ยังมีการอบรมรับมือภัยพิบัติแผ่นดินไหวและน้ำท่วม ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย โดยมีผู้เชี่ยวชาญบรรยายหัวข้อ “การเสริมกำลังอาคารต้านแผ่นดินไหวและการติดตั้งอุปกรณ์เตือนภัย” โดย ศ. ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และนักวิจัยศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ รศ. ดร.ปรีดา ไชยมหาวัน นักวิจัยศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา ผศ. ดร.ประกิต ชมชื่น กรรมการวิชาการสมทบสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และ อ.วัฒนพงศ์ หิรัญมาลย์ เลขาธิการสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย , และหัวข้อ “ระบบการเตือนภัยและแนวทางการป้องกันน้ำท่วม ในเขตเมือง จังหวัดเชียงราย” โดย ผศ. ดร.อังกูร ว่องตระกูล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย และหัวข้อ “การประยุกต์ใช้แนวคิดเมืองฟองน้ำ เพื่อช่วยลดปัญหาน้ำท่วมเมืองเชียงราย” โดย ผศ. ดร.ภวิสร ชื่นชุ่ม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โดย ศ.ดร.อมร เน้นย้ำว่าหน่วยงานต่าง ๆ และประชาชนต้องปรับกรอบความคิด เพราะปัจจุบันองค์ความรู้ต่างๆ มีมากพอแล้ว แต่ความท้าทายคือการนำไปใช้จริง เพราะเมื่อภัยพิบัติผ่านไป ผู้คนมักลืมและมองว่าเป็นเรื่องไม่จำเป็น จึงเกิดความประมาท ดังนั้นสิ่งสำคัญ คือการปรับกรอบความคิด และสร้างอาคารตามหลักวิศวกรรมเพื่อความปลอดภัย
