Connect with us

บทความ

รู้จัก Command & Conquer: Generals เกมบัญชาการที่เปิดให้คุณสำรวจมุมมองสงคราม-การต่อต้านการก่อการร้าย ที่ยังสนุกจนถึงปัจจุบัน

Published

on

สำรวจ Command & Conquer Generals เกมวางแผนการรบแบบเรียลไทม์ 3D เกมแรกของแฟรนไชส์ พร้อมเจาะลึกเนื้อเรื่องหลัก ภาคเสริม Zero Hour และข้อจำกัดในการเผยแพร่ในบางประเทศ

สำนักข่าวบริคอินโฟ – Command & Conquer: Generals นับเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของวงการเกมแนววางแผนการรบแบบเรียลไทม์ (RTS) โดย EA Pacific ที่ออกจำหน่ายในปี 2003 และมีภาคเสริมชื่อ Zero Hour

เกมนี้ฉีกแนวจากจักรวาล Red Alert และ Tiberium โดยสิ้นเชิง ด้วยการนำเสนอ กราฟิกสามมิติ เต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกในซีรีส์ Command & Conquer และยังสร้างความโดดเด่นด้วยเนื้อเรื่องที่ร้อยเรียงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแตกต่างจากภาคก่อน ๆ ที่แคมเปญเดี่ยวอาจไม่เป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด

ภายในเกมเปิดให้ผู้เล่นสวมบทบาทเป็น “นายพล” ของแต่ละกองทัพ ได้แก่ สหรัฐฯ , จีน และ กลุ่มก่อการร้ายในเกม ชื่อ Global Liberation Army (GLA) ที่มีกำลังพลและรูปแบบการเล่นแตกต่างออกไป เช่น สหรัฐฯ มีทัพฟ้าที่น่าเกรงขามและอาวุธไฮเทคอย่างเลเซอร์ ส่วนจีน มีกองกำลังที่เน้นจำนวนกำลังพลและราคาที่ย่อมเยา พร้อมกับหัวรบนิวเคลียร์ที่พร้อมส่งตรงถึงฐานศัตรู และ กลุ่มก่อการร้าย GLA ผู้ที่ใช้แรงงานทาสในการก่อสร้าง สวมผ้าโพกหัว ใช้ AK-47 และมีระเบิดพลีชีพให้เลือกสร้างด้วย

เนื้อเรื่อง

Command & Conquer: Generals พาผู้เล่นเข้าสู่เรื่องราวที่เกิดขึ้นราวปี 2013 เมื่อขบวนสวนสนามทางทหารที่จัตุรัสเทียนอันเหมินถูกโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์โดยกลุ่ม GLA ซึ่งเหตุการณ์นี้นำไปสู่การตอบโต้ของจีนที่เข้าปราบปรามภัยคุกคามจากการก่อการร้ายในฮ่องกง ทำลายเขื่อนสามผาเพื่อสกัดการรุกคืบของ GLA และท้ายที่สุดก็ใช้อาวุธนิวเคลียร์เข้ากำจัดกองกำลัง GLA ที่อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการทั้งหมดในแถบแปซิฟิกตะวันตกและประเทศเพื่อนบ้าน

Advertisement

หลังจากพ่ายแพ้อย่างหนัก GLA พยายามฟื้นตัวด้วยการขโมยเงินทุนจากสหประชาชาติและกองกำลังสหรัฐฯ พร้อมทั้งก่อการโจมตีตอบโต้กองทัพสหรัฐฯ และจีนในกรุงอัสตานา ทำลายฐานทัพอากาศสหรัฐฯ ยึดบังเกอร์เก็บสารพิษ และทำลายเซลล์ GLA นอกคอกที่ไปจับมือกับจีน ความขัดแย้งบานปลายไปถึงการเข้ายึดครองศูนย์อวกาศไบโคนูร์ และการยิงจรวด Soyuz ที่บรรทุกหัวรบชีวภาพ MIRV เข้าใส่เมืองที่ไม่ปรากฏชื่อในตอนท้ายของเรื่อง

ในช่วงท้ายของสงคราม กองกำลังติดอาวุธของสหรัฐฯ ได้เข้าปะทะกับ GLA ในหลายพื้นที่ อาทิ แบกแดด ทะเลแคสเปียน อัล-ฮานาด เมืองคาบารา และทางตอนเหนือของคาซัคสถาน ก่อนที่จะเอาชนะนายพลจีนนอกคอกที่ให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายได้สำเร็จ และติดตามร่องรอยกลับไปยังฐานปฏิบัติการหลักในเมืองอักโมลา ประเทศคาซัคสถาน หลังจากชัยชนะของสหรัฐฯ ในอักโมลา กองกำลัง GLA ในฐานะกองกำลังรวมศูนย์ก็ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ถือเป็นการยุติสงครามในที่สุด

สำหรับภาคเสริม Command & Conquer: Generals – Zero Hour ได้เพิ่มความสามารถและยูนิตใหม่ๆ ให้กับแต่ละฝ่าย รวมถึงโหมดการเล่นใหม่ที่เรียกว่า Generals’ Challenge และมีการปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ นอกจากนี้ Zero Hour ยังประกอบด้วย 3 แคมเปญใหม่ แคมเปญละ 5 ภารกิจ โดยเรียงตามลำดับเวลาคือ สหรัฐอเมริกาเป็นอันดับแรก Global Liberation Army (GLA) เป็นอันดับสอง และ PLA (People’s Liberation Army) เป็นอันดับสุดท้าย สิ่งที่แตกต่างจากแคมเปญก่อนหน้านี้คือ Zero Hour ได้นำฟุตเทจวิดีโอแบบเต็มรูปแบบกลับมาใช้ในการบรรยายสรุปภารกิจ โดยแต่ละฝ่ายจะมีผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์และคำแนะนำสำหรับภารกิจปัจจุบัน เนื้อเรื่องของแคมเปญใน Zero Hour จะดำเนินต่อเนื่องจากจุดสิ้นสุดของแคมเปญหลัก

ข้อถกเถียงและการถูกแบนในบางประเทศ

Command & Conquer: Generals ได้เผชิญกับการตรวจสอบและข้อจำกัดในบางประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน เกมนี้ถูกสั่งห้ามจำหน่ายเนื่องจากถูกมองว่า “บิดเบือนภาพลักษณ์ของจีนและกองทัพจีน”

ในประเทศเยอรมนี เกมนี้ถูกวางจำหน่ายภายใต้ชื่อ Command & Conquer: Generals ในตอนแรก อย่างไรก็ตาม เพียงสองเดือนหลังจากการเปิดตัว Bundesprüfstelle für jugendgefährdende Medien (Federal Department for Media Harmful to Young People) หรือ BPjM ได้ขึ้นบัญชีเกมนี้อยู่ใน “รายชื่อสื่อที่เป็นอันตรายต่อเยาวชน” ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ห้ามการโฆษณาต่อสาธารณะและการจำหน่ายให้กับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี โดย BPjM ระบุเหตุผลว่าเกมนี้ทำให้สงครามกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย (trivialized war)

Advertisement

ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว ในช่วงกลางปี 2003 EA จึงได้ออกเวอร์ชันที่ปรับปรุงสำหรับตลาดเยอรมันโดยเฉพาะในชื่อ Command & Conquer: Generäle ซึ่งได้มีการลบการอ้างอิงถึงการก่อการร้าย ประเทศ และสถานที่ในโลกจริงออกไป รวมถึงการนำพลเรือนออกและการเปลี่ยนแปลงชื่อและรูปลักษณ์ของยูนิตต่างๆ ตัวอย่างเช่น หน่วยพลีชีพ “terrorist” ถูกเปลี่ยนเป็น “rolling bomb” และหน่วยทหารราบอื่นๆ ถูกเปลี่ยนเป็น “cyborgs” (เช่น หน่วย Red Guard กลายเป็น Standard Cyborg) ในเดือนกันยายน 2013 ข้อจำกัดเหล่านี้ถูกยกเลิก และเวอร์ชันที่ไม่ได้ตัดทอนก็ได้กลับมาวางจำหน่ายอีกครั้งพร้อมเรตติ้ง 18+

บริบททางประวัติศาสตร์และการเชื่อมโยงกับปัจจุบัน

แม้ว่าเนื้อเรื่องของ Command & Conquer: Generals จะถูกกำหนดให้อยู่ในปี 2013 และไม่ได้อ้างอิงถึง ปฏิบัติการพายุทะเลทราย (Operation Desert Storm) โดยตรง ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1990 แต่การเลือกใช้ฉากหลังในภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชียกลาง รวมถึงการนำเสนอภัยคุกคามจากการก่อการร้ายและการใช้อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาที่เกมถูกพัฒนาและเผยแพร่ในปี 2003 ซึ่งเป็นช่วงหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน และการบุกอิรักของสหรัฐฯ

ประเด็นเกี่ยวกับกลุ่มก่อการร้าย การแพร่กระจายอาวุธ และความขัดแย้งในภูมิภาคเหล่านี้ยังคงเป็นประเด็นสำคัญในสถานการณ์โลกปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะเป็นเกมที่สร้างขึ้นเมื่อสองทศวรรษที่แล้ว แต่ Command & Conquer: Generals ยังคงมีประเด็นที่สอดคล้องกับความท้าทายทางความมั่นคงที่เราเผชิญอยู่

Advertisement
Continue Reading
Advertisement