Connect with us

บทความ

[รีวิว] Call of Duty: Black Ops 6 ปฏิบัติการระทึก ของจารชนพันธุ์ดุ

Published

on

ตลอดปีที่ผ่านมา ผมง้างรอมาตั้งแต่ปากซอยเพื่อที่จะได้ลองเล่น Call of Duty : Black Ops 6 เกมเดินหน้ายิงธีมสงคราม ที่มันเป็นภาคที่ผู้พัฒนาตั้งใจทำจริง ๆ หลังจากเนื้อเรื่องแคมเปญของ Modern Warfare III มันทำผมและหลาย ๆ คนช้ำใจจัด ๆ นั่นเลยทำให้แฟนเกมหัวนี้คาดหวังในเกมภาคนี้ไว้สูงมาก… แต่ยังดีที่ Multiplayer ของ Modern Warfare III ยังคงเป็นจุดแข็งอยู่ ซึ่งจะโทษ Sledgehammer ผู้พัฒนาภาคนี้ก็ไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันฉุกละหุกมากเหมือนกัน อันนี้ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกันนิดนึง

แต่หลังจากที่เกมได้วางขายแบบเต็มตัว และผมได้ลองเล่นมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว The Trivial Space จะขอมารีวิวดูกันว่าภาค Black Ops 6 นี้ จะงานดีสมกับที่ Activision Blizzard พยายาม Hype มาเกือบปี และสมกับการรอคอยของแฟน ๆ ขนาดไหน…


สำหรับ Call of Duty : Black Ops 6 เราอาจจะต้องทวนคำวามจำกันอีกครั้ง ว่าเกมภาคนี้เป็นผลงานของ 2 สตูดิโอขาประจำ อย่าง Treyarch ที่รับผิดชอบแฟรนไชส์ย่อย Black Ops มาตั้งแต่ภาค World at War และ Raven Software ที่เข้ามามีส่วนร่วมอีกทีในภาค Cold War

เรื่องราวของภาคนี้ ถ้าว่ากันตาม Timeline จะเกิดขึ้นหลังจากเนื้อเรื่องภาค Black Ops 2 ในเนื้อเรื่องย้อนอดีต ซึ่งเกิดขึ้นต่อจากภาค Cold War อีกที โดยจะเป็นช่วงเวลาต้นยุค 90’ ในปี 1991 หลังจบยุคสงครามเย็น และอยู่ระหว่างสงครามอ่าวเปอร์เซีย

ถึง Call of Duty ภาค Black Ops นั้นจะมีจุดเด่นอยู่ที่เนื้อเรื่องแนวสงครามย้อนยุคที่เข้มข้น และความตื่นเต้นแบบ Thriller สายลับ แต่ถ้าไม่มีโหมด Multiplayer ที่รวดเร็วและดุดัน มันก็คงจะเรียกว่า Call of Duty ไม่ได้….

Advertisement

ซึ่งในภาคนี้มีการปรับปรุงระบบให้ดีขึ้น นำของดีจากภาคเก่าอย่าง Perk และ Wild Card กลับมา พร้อมเพิ่มระบบใหม่เข้ามาอีก อย่าง Omnimovement ที่เพิ่มลูกเล่นในการเคลื่อนที่ที่รวดเร็วและไหลลื่นรอบทิศทาง โดยเฉพาะการกระโดดพุ่งตัว ที่สามารถพลิกเกมการเผชิญหน้าได้เพียงเสี้ยววินาที พิสูจน์ได้ด้วยรูบนหนังกบาลจากเกมที่ผมเพิ่งเล่นไปเมื่อวานนี้ (จากวันที่ผมกำลังเขียนรีวิวอยู่)

นอกจากนี้ยังมีระบบ Human Shield ที่สามารถจับศัตรูมาเป็นโล่กำบังได้ และยังสามารถคอมโบเป็นท่า Finisher ต่อได้เลย พอมารวมกับระบบเกมที่เร็วแรงทะลุนรกอยู่แล้ว มันก็ยิ่งทำให้มันกลายเป็นโหมด Multiplayer ที่รวดเร็วและเร้าใจ ระดับเวทีหมอลำวันพระใหญ่ขึ้นมาทันที


“Black Ops 6” Thriller สายลับที่น่ากลัวเกิ๊น!

อย่างที่ได้เล่าไปตอนแรก โหมดเนื้อเรื่องเล่นคนเดียวของ Call of Duty : Black Ops 6 นั้น จะเพิ่มสัดส่วนความลุ้นระทึกในแบบหนังสายลับเข้ามา ด้วยเรื่องราวหักเหลี่ยมเฉือนคมในหน่วยข่าวกรองของพญาอินทรีหลังยุคสงครามเย็น โดยจะเล่าถึงสมาชิกหน่วยปฏิบัติการลับอย่าง Troy Marshall, Jane Harrow, William Calderon หรือ Case (ผู้เล่น) และ Frank Woods ที่ตอนนี้ถอนตัวจากแนวหน้ามาทำงานข่าวกรองแทน เพราะเดินไม่ได้แล้ว ต้องเผ่นออกมาจาก CIA กลายเป็น “สายลับแตกแถว” เพราะในหน่วย CIA ตอนนี้มีหนอนบ่อนไส้แทรกซึมอยู่ และทำให้พวกเขาก็กลายเป็นคนทรยศไปเรียบร้อยแล้ว… ซึ่งผมจะไม่เล่าอะไรไปมากกว่านี้ เพื่อไม่ให้เป็นการสปอยล์

ต้องบอกว่าภาคนี้ให้ความรู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับเนื้อเรื่องได้ดี ด้วยการออกเดินทางไปตามสมรภูมิและภารกิจต่างผ่านมุมมองของ Case ที่จะเป็นตัวละครเดียวที่เราจะไม่สามารถเห็นหน้าได้ตลอดทั้งเกม เพราะถึงจะเปลี่ยนเป็นมุมมองบุคคลที่ 3 แล้ว ก็จะเจอแต่พี่แกที่สวมโม่งตลอดทั้งเกม แถมยังเป็นตัวละครเดียวที่ไม่มีเสียงพากย์ด้วย และยังถือว่าเป็นตัวละครที่มีความลับเยอะที่สุด ซึ่งจากจุดนี้ผู้เล่นต้องไปเล่นและเรียนรู้เรื่องราวของ Case เองในเกม

Advertisement

ตัวระบบเกมนั้น จะนำเอาความอิสระในการดำเนินภารกิจแบบ Open-Combat Mission ของ Modern Warfare III มาใช้ ทำให้ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะงานนี้จะเดินสวบ ๆ เอาลูกปืนไปยัดหน้าศัตรูเอง หรือย่องเข้าไปแบบเนียน ๆ เพื่อลดการปะทะที่ไม่จำเป็น…

ถ้าเป็นฉากสนามรบขนาดใหญ่ เราก็จิ้มเอาเองเลยว่าจะไปไหนก่อนก็ได้ จะแวะไปเก็บของ, ช่วยคน, หาคนชี้เป้าเพื่อวางแผนก่อนโจมตี หรือส่งสัญญาณเรียกการโจมตีทางอากาศแทนการบุกเข้าไปสาดกระสุนก็ได้ ขอแค่ไม่ทำผิดเงื่อนไขของภารกิจก็พอ… นั่นเลยทำให้ในแต่ละภารกิจมีเนื้อหาและความลับต่าง ๆ ซ่อนไว้เป็น Puzzle ให้ผู้เล่นได้ค้นพบด้วยตัวเอง

และระหว่างแคมเปญ ก็จะถูกคั่นด้วยบทเนื้อเรื่อง ที่ผู้เล่นสามารถอัปเกรดอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับภารกิจต่อไป แต่การอัปเกรดใด ๆ มันก็ต้องใช้เงินทั้งหมด และการที่จะหามาได้นั้น คุณต้องไปหาในภารกิจเอาเอง ไม่ว่าจะจกมาจากโต๊ะดื้อ ๆ, ปราบศัตรูระดับสูง, ไขตู้เซฟ หรือแม้แต่แก้ปริศนาในฐานลับที่เราไปดอยมาจากพวก KGB อีกทีนึง ซึ่งอันนี้ผมแนะนำให้ไปแก้กัน เพราะเงินจากตู้เซฟพวกนี้มัน “ใหญ่มากมาก”

ในโหมดเนื้อเรื่องนี้ ถ้าให้เอาแบบความเห็นจากที่ลองเล่นจนจบแล้ว… ถึงระบบจะคล้ายของ Modern Warfare III แต่ผมชอบมากกว่า เพราะมันได้ใช้เวลาในการเกลาเรื่องราวให้มีความสนุกขึ้นแบบเป็นชิ้นเป็นอัน, มีมิติ, มีความลุ้นระทึก, เหลี่ยมชนเหลี่ยม เหมือนดูหนังสายลับยุคสงครามเย็น แต่มันกลับไม่ค่อยสม่ำเสมอ เพราะอยู่ ๆ พี่แกก็ลากเข้าไปเวย์ Horror ได้ยังไงก็ไม่รู้ ยังดีที่มันไม่ใช่สัดส่วนทั้งหมดของเกม แต่ส่วนนี้ดันติดตากว่าธีมหลักของมันซะอีก (โดยเฉพาะฉากหุ่นโชว์)

Advertisement

ถ้าให้เทียบมู้ดกับหนัง ผมยกเอา Inglourious Basterds, Jason Bourne และ Tinker Tailor Soldier Spy เอามายำ ๆ รวมกัน…. แล้วโรยความ Psychological Horror เข้าไปนิดนึง… แต่มือลื่นไปหน่อย เลยร่วงลงไปเกือบทั้งกระปุก


ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากใน Multiplayer

ถึง Call of Duty จะเป็นแฟรนไชส์ที่มีเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม และลุ้นระทึกตลอดภารกิจก็ตาม แต่จุดหมายแรกที่แฟนเกมวิ่งเข้าใส่ก่อนเลยก็คือโหมด Mutiplayer ด้วยเกมเพลย์ที่รวดเร็ว สารพัดลูกเล่นเก่าขวัญใจแฟน ๆ และของเล่นใหม่ที่ถ้าใครได้ลองศึกษาจนคล่องแล้ว มันจะเป็นอะไรที่โคตรสนุก

จากประสบการณ์ที่ได้ลองเล่น Multiplayer จนโดนด่าเพราะไม่หลับไม่นอน แถมงานบทความของเพจไม่ออกสักทีนั้น มันคือประสบการณ์ Multiplayer FPS ที่ทั้งเร็ว ทั้งดุ เต็มไปด้วยลูกเล่นพลิกเกมต่าง ๆ แล้วแต่คนเล่นจะคิดได้ และยังเต็มไปด้วยโมเมนต์ภัยพิบัติระดับหมอลำ ถ้าเข้าตีแบบผิดที่ผิดเวลา แม้สำหรับมือใหม่จะดูซับซ้อนและใช้ลูกเล่นสูง แต่กับผู้เล่นเก่านั้นถือว่าสามารถปรับตัวได้อยู่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลากันนิดหน่อยให้คุ้นเคย

เพราะการมาของระบบ Omnimovement ฟีเจอร์การเคลื่อนที่แบบใหม่ ให้ผู้เล่นสามารถทั้งวิ่ง, สไลด์ หรือพุ่งหลาวกันได้แบบ “รอบทิศ” และ Human Shield จับมาใช้เป็นโล่กันกระสุนได้ ซึ่งมันก็เปลี่ยนวิธีเล่นไปค่อนข้างเยอะ แต่พอเล่นไปเล่นมาก็รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เพราะแผนที่ที่ดูจะทำมาค่อนข้างเล็ก เลยดูมีความอบอุ่นแบบเกินจำเป็นไปนิดหน่อย

Advertisement

ในส่วนของ Gunplay ที่ผมจะจุกจิกเป็นพิเศษเวลารีวิวเกมแนวยิง ๆ ผมมักจะบ่นบ่อย ๆ ว่าของเกมนั้นไม่สนุก เกมนี้น่าเบื่อบลา ๆๆ แต่สำหรับ Call of Duty แล้ว ต้องบอกว่าไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะตัวเกมนำเสนอเอกลักษณ์ของปืนแต่ละกระบอกได้แตกต่างกัน และสนุกที่จะหยิบมายิง แบบกระบอกนี้ฟีลประมาณนี้ อัตราการยิงแบบนี้ หรือปืนดีดจนจะฟาดหน้าแบบนี้ แล้วเวลาไปหยิบปืนอะไรไม่รู้ที่ตกอยู่มายิงก็จะแบบ “โว้ว… อันนี้ฟีลดีชิบหาย!” ไม่ก็… “นี่ปืนใครแต่งวะ!? ต้องสาปเชี่ย ๆ”

และแน่นอนว่าเสียงของปืนที่ยิงออกมาก็ตูมตามสะใจแฟนเกมเดินหน้ายิงแบบผมมาก อันนี้คือมองในมุมของ FPS สายเกมเร็วนะ

หันมาที่โหมดซอมบี้ มันกลับมาเป็นแบบ Round Base แล้ว… และขอสารภาพว่าสมัยเด็ก ๆ ผมไม่กล้าเล่น เพราะซอมบี้หน้าก็เละอยู่แล้ว พอมีเสียงโหยหวนมาด้วยคือหลอนหนักกว่าเดิม เล่นต่อไม่ไหว… แต่พอโตมาลองเล่นใหม่จริง ๆ กลับสนุกเฉย ถึงซอมบี้นี่ล้อมหน้าหลังกันเต็มไปหมด แต่พอมาเจอระบบการเคลื่อนไหวแบบใหม่เข้าไป มันทำให้เราสนุกกับการหนีไปยิงไปได้มากขึ้น แต่ใครที่จะเล่นจริงจัง อาจจะต้องศึกษาระบบการอัปเกรดกันก่อนนิดหน่อยว่ามันทำงานยังไง เพราะเวลาเล่นจริงมันไม่มีเวลาให้เรานั่งอ่านคำอธิบายแน่นอน


กราฟิกและเสียงจัดเต็ม แต่ก็ไม่ปราณีเครื่องเหมือนเดิม

สำหรับเรื่องของกราฟิกในเกมแฟรนไชส์ CoD แล้ว แน่นอนอยู่แล้วว่ายังไงก็คงมาตรฐานความสวยงามไว้ได้เหมือนเดิม ด้วยพลังของ IW Engine เวอร์ชัน 9.0 แต่ที่เราเห็นในภาพนี้ คือ IW 9.0 แบบที่ปรับแต่งเพื่อให้มันรองรับระบบ Omnimovement ของภาคนี้โดยเฉพาะ

Advertisement

บรรยากาศและฉากต่าง ๆ ในเกม สื่อภาพจากยุค 90 ช่วงสงครามอ่าวฯ ได้ค่อนข้างถึงอารมณ์ ไม่ว่าจะความขมุกขมัวของควันและไฟจากสงคราม, อาคารและเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มากันตามยุคสมัย แม้บางอย่างจะดูล้ำเกินไปหน่อยก็ตาม… แต่ก็นะ เนื้อเรื่องแนวสายลับ มันต้องติดล้ำหน่อย ๆ เป็นเรื่องธรรมดา รวมไปถึงการสร้างบรรยากาศความสยองขวัญแบบ Psychological Horror ด้วยแสงและเสียงที่ทำเอาต้องมองหน้ามองหลังตลอดเวลา

แม้คุณภาพโมเดล และรายละเอียดพื้นผิวต่าง ๆ ของเกมอาจจะพอ ๆ กับ Modern Warfare III ที่มันสวยและสะใจตามมาตรฐานของมันอยู่าแล้ว แต่สิ่งที่เพิ่มความ Spicy ให้กับเกมภาคนี้อีกตัว ก็คือการเคลื่อนไหวของตัวละครที่ต่อเนื่อง, ละเอียด และมีความเป็นมนุษย์ คือตลอดเวลาที่คุณลงไปนัวกับชาวบ้านใน Multiplayer คุณจะไม่รู้สึกว่ามันขัดตา หรืออาจจะขัดแหละสำหรับบางคน แต่น้อยมาก!

ซึ่งจากที่ว่ามาเนี่ย… ถ้าเป็น Notebook เครื่องเก่าของผมก็น่าจะระเบิดไปแล้ว เพราะมันอัดรายละเอียดมาแน่นจัด แต่ไม่ต้องห่วงครับ สเปคมันก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น GTX 960 ก็เอาอยู่ แต่เผื่อพื้นที่ใน SSD ไว้หน่อย เพราะมัน “ใหญ่ มาก มาก” 149 GB เลยนะเหวย… นี่ยังไม่รวมคอนเทนต์ที่จะตามมาซีซันหน้าอีก!


สำหรับ Black Ops 6 นั้น นี่เป็นอีกรสชาติของ Call of Duty ที่ไม่ว่าคุณจะคาดหวังอะไร คุณได้ตามนั้น… ไม่ว่าจะเกมเพลย์เร้าใจ, เนื้อเรื่องเข้มข้น, Gunplay สนุก ๆ หรือระบบการเล่นที่กระชับและดุดัน และเหมือนทีมผู้สร้างจะเข้าใจแล้วว่าที่แฟนเกมเขาอยากเล่นจริง ๆ มันหน้าตาเป็นยังไง แล้วปรุงออกมาได้อย่างลงตัว อะไรที่ดีก็ทำให้ดีกว่าเดิม อะไรที่ลองแล้วไม่เวิร์ก ก็เอาของเก่าที่ดีอยู่แล้วกลับมาใช้

Advertisement

แต่ถ้าจะให้ติ ก็คงเป็นเนื้อเรื่องที่ตัดรสชาติกันห่างเกินไป แบบตอนก่อนเกมออกเขาขายความเป็น Spy Thriller มา คืออยู่ ๆ ที่จะมาตัดมู้ดเข้า Horror แบบนี้ผมก็สำลักเหมือนกัน แต่ถ้าถามว่ามันดีมั้ย? ผมก็คงบอกได้แค่มันก็ได้ทั้งสองแนว เพราะฝั่ง Thriller ก็ลุ้นดี ฝั่ง Horror มันก็ทำเอาผมผวาไปพักนึงเลย แต่มันตัดรสกันแบบกะทันหันเกินไป ส่วนแผนที่ใน Multiplayer ออกแบบมาค่อนข้างแออัด แม้จะเป็นแผนที่ขนาดกลางหรือใหญ่ก็ตาม แต่มันก็ยังดูแน่นไปหน่อยในบางฉาก

ต้องบอกว่าเป็นภาคที่ทำออกมาได้ดีจริง ๆ ทั้งในส่วนเนื้อเรื่องและ Multiplayer และสมกับการรอคอยของแฟนเกม แม้ว่ากลไกเกมจะยังคงลึกไปสำหรับผู้เล่นที่ยังใหม่กับ FPS หรือแฟรนไชส์นี้ แต่ถ้าได้เวลาปรับตัวกับมันนิดหน่อย บอกได้เลยว่าคุณก็จะเสียการเสียงาน— เอ๊ย! จะสนุกไปกับมันได้ไม่ยากเลย แต่อาจจะต้องเตรียมเงินกับเนื้อที่ใน SSD เยอะหน่อย เพราะมันก็แรงพอสมควรเลยทั้งสเปคและราคา


ข้อดี

  • Gameplay และ Gunplay สนุก
  • โหมดเนื้อเรื่องออกแบบมาดี
  • Mutiplayer สนุก และรวดเร็ว
  • Animation ไหลลื่น
  • กราฟิกและสภาพแวดล้อมสวยจับตา

ข้อเสีย

  • เส้นเรื่องเปลี่ยนโทนกะทันหันไป
  • แผนที่ค่อนข้างแออัด

สรุปคะแนน : 8.5/10


Call of Duty : Black Ops 6 มีให้เล่นแล้วบน PlayStation 4, 5, Xbox One, Xbox Series S|X และ PC บน Battle.net, Steam, Xbox Apps ทั้งแบบซื้อขาดและผ่านบริการรายเดือนของ Microsoft PC Game Pass

Advertisement