ข่าว
ฟิลิปส์ เผยผลสำรวจชี้ระบบสาธารณสุขเอเชียแปซิฟิกเผชิญความล่าช้า แนะเร่งใช้ AI

สำนักข่าวบริคอินโฟ – ฟิลิปส์ (Philips) บริษัทเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพระดับโลก เปิดเผยผลสำรวจ Future Health Index (FHI) 2025 ซึ่งจัดทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 โดยระบุว่าระบบสาธารณสุขในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านความล่าช้าในการรักษาและการเสียโอกาสทางการแพทย์ แม้ว่าผลตอบรับต่อการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเป็นไปในเชิงบวก แต่ยังคงมีความกังวลด้านความมั่นใจในการใช้งาน ผลสำรวจนี้รวบรวมข้อมูลจากบุคลากรทางการแพทย์กว่า 1,900 คน และผู้ป่วยกว่า 16,000 คน จาก 16 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา, เนเธอร์แลนด์, ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้
นายแจสเปอร์ เวสเตอร์ริงค์ รองประธานอาวุโสและกรรมการผู้จัดการ ฟิลิปส์ ประเทศญี่ปุ่น และรักษาการประธานและกรรมการผู้จัดการ ฟิลิปส์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการใช้เทคโนโลยี AI ว่า “ความจำเป็นของการใช้เทคโนโลยี AI สูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน เมื่อผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยต้องรอพบแพทย์เฉพาะทางนานกว่าหนึ่งเดือน ในขณะที่บุคลากรทางการแพทย์บางส่วนต้องเสียเวลาทำงานทางคลินิกไปราว 4 สัปดาห์ต่อปี เนื่องจากข้อมูลผู้ป่วยไม่ครบถ้วน ดังนั้น AI จึงมีบทบาทสำคัญที่เข้ามาช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถรักษาผู้ป่วยได้เร็วขึ้น ตัดสินใจได้ดีขึ้น และตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วยได้รวดเร็วขึ้น เพื่อยกระดับการดูแลรักษาผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นแก่ผู้คนจำนวนมากขึ้นเช่นกัน”
ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าผู้ป่วยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 2 ใน 3 (66%) ต้องเผชิญกับความล่าช้าในการพบแพทย์เฉพาะทาง โดยมีระยะเวลารอคอยเฉลี่ยสูงถึง 47 วัน ผู้ป่วย 1 ใน 3 (33%) ระบุว่าอาการของตนเองแย่ลงจากการรอคอย และ 1 ใน 4 (25%) ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากการรอพบแพทย์ที่นานเกินไป
บุคลากรทางการแพทย์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจำนวน 3 ใน 4 (76%) ระบุว่าพวกเขาเสียเวลาสำคัญในการปฏิบัติงานทางคลินิกเนื่องจากข้อมูลผู้ป่วยไม่ครบถ้วนหรือไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยเกือบ 1 ใน 3 (31%) ของบุคลากรทางการแพทย์กลุ่มนี้เสียเวลาไปมากกว่า 45 นาทีต่อกะการทำงาน หรือเทียบเท่ากับ 23 วันต่อปีต่อบุคลากรหนึ่งคน นอกจากนี้ 2 ใน 5 (39%) กล่าวว่าปัจจุบันพวกเขามีเวลาดูแลผู้ป่วยน้อยลง แต่ต้องใช้เวลาไปกับงานเอกสารมากขึ้นเมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อน ปัญหาเหล่านี้ยิ่งซ้ำเติมการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2573 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ถึง 6.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 40% ของปัญหาการขาดแคลนทั่วโลก
จากผลสำรวจ บุคลากรทางการแพทย์กว่า 300 คนแสดงความกังวลหลายประการหากไม่มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ โดย 45% กังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ป่วยตกค้างที่เพิ่มขึ้น, 42% กังวลถึงการเผชิญภาวะหมดไฟในการทำงานที่เพิ่มขึ้นจากภาระงานเอกสาร และ 40% กังวลว่าจะไม่สามารถให้การรักษาที่ทันต่อยุคสมัยได้ อย่างไรก็ตาม บุคลากรทางการแพทย์ 89% เชื่อว่าเทคโนโลยี AI และระบบวิเคราะห์เชิงคาดการณ์สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้จากการสนับสนุนให้เกิดการรักษาที่รวดเร็วขึ้น
การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นกุญแจสำคัญในการปรับใช้เทคโนโลยี AI ในวงกว้าง บุคลากรทางการแพทย์ 81% มีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในองค์กร แต่ 39% ยังมองว่าเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาไม่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขา นอกจากนี้ 71% กังวลเกี่ยวกับความรับผิดทางกฎหมายจากการใช้ AI และ 66% กังวลเกี่ยวกับข้อมูลที่ไม่เป็นกลางในระบบที่ใช้ AI ซึ่งอาจส่งผลให้การรักษาและผลลัพธ์ไม่ถูกต้อง ด้านผู้ป่วย 75% ยอมรับการใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นหากสามารถช่วยขยายโอกาสในการเข้าถึงระบบสาธารณสุข แต่กว่าครึ่ง (51%) กังวลเกี่ยวกับการลดเวลาในการปรึกษาแพทย์แบบตัวต่อตัว และ 54% กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูล
นายแจสเปอร์กล่าวสรุปว่า “สิ่งสำคัญ คือ การสร้างความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยให้มีการนำเทคโนโลยีไปใช้ในวงกว้างและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ความร่วมมือของทุกฝ่ายในวงการเฮลท์แคร์เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยยกระดับความเชื่อมั่นและลดความกังวลในการใช้เทคโนโลยี AI และขับเคลื่อนการบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับระบบสาธารณสุขในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างรับผิดชอบและครอบคลุม”