Connect with us

ข่าว

เมฆ-อินเด็กซ์ นักจัดอีเวนท์เบอร์ต้น ชวนคิด ไทยพลาดโอกาสใน World Expo 2025 หรือไม่?

Published

on

นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน)

สำนักข่าวบริคอินโฟ – หลังจากกรณีการตั้งคำถามเกี่ยวกับ Thailand pavilion ที่ World Expo 2025 Osaka Japan โดยล่าสุด เมฆ-อินเด็กซ์ นักจัดอีเวนท์เบอร์ต้น ชวนคิด ไทยพลาดโอกาสใน World Expo 2025 หรือไม่?

เมฆ-เกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) บริษัทจัดงานอีเวนท์ระดับต้น ๆ ของประเทศไทย ที่เคยร่วมจัดงาน World Expo ปีอื่น ๆ ระบุผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงประสบการณ์การเข้าร่วมงาน World Expo ถึง 9 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2535 ที่เซบียา ประเทศสเปน จนถึงล่าสุดปี 2568 ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น โดยระบุว่า 5 ครั้งเป็นการเข้าร่วมในฐานะผู้จัดแสดง และอีก 4 ครั้งในฐานะผู้เข้าชมงาน

“Index creative village ไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ในThailand pavilion ที่ World expo 2025 Osaka Japan” เมฆ-เกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว

นายเกรียงไกรกล่าวว่า World Expo มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่ปี 2394 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมตั้งแต่ครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ในอดีตสยามเข้าร่วมในฐานะประเทศเอกราชแห่งเอเชีย เพื่อแสดงศักยภาพและความเป็นอิสระทางการทูต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานที่กรุงปารีส ที่ไทยไม่เข้าร่วมในพื้นที่ของกลุ่มประเทศอินโดจีน ทำให้ศาลาไทยตั้งอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นใกล้กับหอไอเฟล ญี่ปุ่น และจีน

ในยุคปัจจุบัน World Expo เป็นเวทีของการสร้างภาพลักษณ์ระดับชาติ (Nation Branding) โดยแต่ละประเทศจะนำเสนอเอกลักษณ์และศักยภาพของตนเองต่อสายตานานาชาติ ผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่เป็นประชาชนของประเทศเจ้าภาพที่ต้องเสียค่าเข้าชม โดยเฉลี่ยจะเข้าชมประมาณ 1-2 วัน สำหรับประเทศที่เข้าร่วมจะมีประมาณ 150-180 ประเทศ ซึ่งประเทศขนาดเล็กมักจะอยู่ใน Joint Pavilion ขณะที่ประเทศที่มีศักยภาพทางการเงินจะสร้างอาคารแสดงสินค้าของตนเอง (Self-build Pavilion) ซึ่งปกติจะมีประมาณ 40-50 ประเทศ โดยในกลุ่มอาเซียนมีเพียง สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และไทย ที่มีการสร้างอาคาร Self-build Pavilion

นายเกรียงไกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้เข้าชมงานจะเลือกชมศาลาของประเทศที่ตนเองสนใจ ซึ่งแน่นอนว่าประเทศขนาดใหญ่อย่าง สหรัฐอเมริกา (USA), ญี่ปุ่น (Japan), เยอรมนี (Germany), ฝรั่งเศส (France), ออสเตรเลีย (Australia), จีน (China), เกาหลี (Korea), อังกฤษ (England) หรือประเทศรองลงมา รวมถึงกลุ่มประเทศที่สร้างศาลาขนาดใหญ่ เช่น ซาอุดีอาระเบีย (Saudi Arabia), สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE), บาห์เรน (Bahrain), อิหร่าน (Iran), อินเดีย (India) จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ การที่ศาลาไทยจะก้าวขึ้นไปอยู่ในกลุ่ม Top 10 หรือ Top 20 ได้นั้น ต้องมีการวางแผนและกลยุทธ์อย่างมาก โดยยกตัวอย่างความสำเร็จในงาน World Expo ที่เซี่ยงไฮ้ ปี 2553 และที่ดูไบ ที่ไทยสามารถสร้างความสนใจและภาพลักษณ์ที่ดีต่อประเทศได้

Advertisement

“การวางแผนที่ต้องให้สอดคล้องกับความสนใจผู้ชม วิเคราะห์คู่แข่ง หาจุดขายให้ประเทศเรา มันไม่ใช่งานประกวดความสวยงามของ Pavilion มันไม่ใช่ที่เราจะใส่ข้อมูลเยอะๆ ต้องอย่าลืมว่าผู้ชมเป็นคนทั่วๆไปไม่ใช่นักธุรกิจ ไม่ใช่นักวิชาการ คนเข้ามาเยี่ยม Pavilion เรา เราต้องมี message ให้เค้าจำเราให้ได้ สัก 2-3 เรื่องพอ เพราะ 1 วันผู้ชมชม เฉลี่ย 10 pavilion เรียกว่ามันเป็นการทำ Brand experience” นายเกรียงไกรกล่าว

นายเกรียงไกรยังกล่าวถึงผลลัพธ์ที่ประเทศไทยได้รับจากการเข้าร่วมงาน World Expo ว่าขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น ที่เซี่ยงไฮ้มีผู้เข้าชมกว่า 7 ล้านคน ทำให้คนจีนรู้จักประเทศไทยมากขึ้น ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวและการค้าขาย และศาลาไทยยังติดอันดับ 1 ใน 7 ศาลาที่ได้รับความนิยมสูงสุด ส่วนที่ดูไบมีการทำวิจัยผู้ชมเพื่อวัดความประทับใจและความเข้าใจในสิ่งที่ไทยต้องการสื่อสาร พบว่า 97% ของผู้เข้าชมประทับใจและเปลี่ยนมุมมองต่อประเทศไทยจากประเทศเกษตรกรรมไปสู่ประเทศที่มีโอกาสและเปิดกว้าง จนทำให้ศาลาไทยติดอันดับ Top 4 จากการวัดผลของ Google

“ผมไปชมงาน Osaka expo 2025 ตั้งแต่วันเปิด เสียดายโอกาสของประเทศ คนไทยทำได้ดีกว่านี้ได้ครับ” นายเกรียงไกรกล่าวทิ้งท้าย