ข่าว
ชป.12 เผยสถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยาคาดระบายน้ำสูงสุดในเกณฑ์ 700 ลบ.ม.วินาที

ผู้สื่อข่าว : วรชล ฟักขาว ผู้สื่อข่าวชัยนาท
วันนี้ 6 ก.ย. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานชลประทานที่ 12 เผยสถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยา ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาฝนตกชุกทางภาคเหนือทำให้น้ำท่าตามลำน้ำเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยสถานีวัดน้ำ C2 จ.นครสวรรค์ จะมีมวลน้ำสูงสุดในวันที่ 9 ก.ย.2564 และถึงเขื่อนเจ้าพระยาวันที่ 10 ก.ย.2564 เตือน 7 จังหวัดพื้นที่ลุ่มต่ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเตรียมรับมือการระบายน้ำเพิ่ม ด้านกรมชลประทานยืนยันจะบริหารน้ำท่าที่มีอยู่ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
โดย นาย กฤษฎา ศรีเพิ่มพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่12 เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำของทั้ง 4 เขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปัจจุบันมีน้ำใช้การรวมกันอยู่ที่ 2,081 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 11 เปอร์เซ็นต์ หากเทียบจากปี 2563 ที่ผ่านมา มีน้ำใช้การรวมกันอยู่ที่ 3,145 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 17 เปอร์เซ็นต์ โดยจากต้นฤดูฝนมาจนถึงปัจจุบันมีปริมาณฝนสะสมที่ไหลอ่างเก็บน้ำทั้ง 4 เขื่อนหลัก ประมาณ 3,300 ล้านลูกบาศก์เมตร และเทียบจากปี 2563 มี มีประมาณ 4,022 ลูกบาศก์เมตร จะเห็นได้ว่า ในต้นฤดูปริมาณฝนใกล้เคียงกัน จากนี้ไปยังคงอยู่ในช่วงฤดูฝนเดือนกันยายน และเดือนตุลาคม ก็ยังคงต้องเฝ้าติดตามว่าปริมาณน้ำ 4 เขื่อนหลักเมื่อสิ้นฤดูฝนจะมีปริมาณเท่าไร โดยเมื่อเดือนเมษายน ปี 2563 ที่ผ่านมา มีปริมาณน้ำฝนสะสมอยู่ที่ 5,771 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนในปี 2564 นี้ ทางกรมชลประทานคาดการณ์เอาไว้ว่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ฝนน้อย แต่ในช่วงของเดือนตุลาคมนี้ คาดว่าจะมีพายุจรเข้ามา 1-2 ลูก ก็จะเป็นผลดี แต่ก็ยังคงต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์ต่อไป
สำหรับในช่วงนี้ ปริมาณน้ำท่าปัจจุบัน ล่องความกดอากาศที่พัดผ่านภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออก จากสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้ฝนตก ทำให้เกิดน้ำท่าไหลลงมาจากด้านบนลงมายังพื้นที่ลุ่มภาคกลาง โดยที่แม่น้ำปิง มีปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ P.17 มีปริมาณน้ำไหลผ่านอยู่ที่ 466 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่วนแม่น้ำน่าน มีปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ N.67 มีปริมาณน้ำไหลผ่านอยู่ที่ 405 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งแม่น้ำทั้ง 2 สายนี้มวลน้ำจะไหลลงมาที่บริเวณ สถานีวัดน้ำ C.2 นครสวรรค์ จะมีปริมาณน้ำสูงสุดยู่ในวันที่ 9 ก.ย. 2564 ประมาณ 1,046 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และจะไหลมาที่บริเวณเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท โดยเขื่อนเจ้าพระยา ปัจจุบันมีการระบายน้ำลงสู่ท้ายเขื่อนอยู่ที่ 633 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และหากมวลน้ำที่สถานีวัดน้ำ C.2 นครสวรรค์ มีประมาณน้ำเพิ่มขึ้นในวันที่ 9 ก.ย. 2564 ในวันที่ 10 ก.ย. 2564 เขื่อนเจ้าพระยาก็จะมีการปรับการระบายน้ำลงสู่ท้ายเขื่อนเพิ่มขึ้นเป็น 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ดังนั้นทางสำนักงานชลประทานที่12 โดยกรมชลประทาน ก็มีเกณฑ์ในการเฝ้าระวังการระบายน้ำด้านท้ายของเขื่อนเจ้าพระยา ตั้งแต่ จ.ชัยนาท ไปจนถึงอ่าวไทย โดยการระบายน้ำตั้งแต่ 700 – 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ผลกระทบก็จะเกิดอยู่ที่ คลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ต.หัวเวียง อ.เสนา ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ถ้ามากกว่า 2,000 – 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ผลกระทบก็จะเกิดอยู่ที่ อ.ไชโย จ.อ่างทอง อ.พรมบุรี อ.เมือง อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี และหากการระบายน้ำตั้งแต่ 2,200 – 2,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ผลกระทบก็จะเกิดอยู่ที่ ต.โพนางดำ อ.สรรพยา จ.ชัยนาท
โดยล่าสุดวานนี้ 5 ก.ย. 2564 ทางสำนักงานชลประทานที่ 12 ได้มีการออกหนังสือแจ้งเตือนไปยังผู้ว่าราชการ จังหวัด 7 จังหวัด ประกอบด้วย อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา และลพบุรี ให้ทราบถึงเรื่องสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา เนื่องจากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีฝนตกชุกหนาแน่น ทำให้มีน้ำหลากจากพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำเจ้าพระยาไหลลงเหนือเขื่อนเจ้าพระยาในอัตราเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้กรมชลประทาน จะมีการบริหารจัดการน้ำจะเก็บปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาเข้าสู่อ่างเก็บน้ำให้มากที่สุด และการบริหารน้ำท่า ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยจะฝันน้ำเข้าสู่คลองชลประทานทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้เกษตรกรได้ทำนาปี