Connect with us

ข่าว

สวทช.-ม.เกษตรฯ เผย 7 พันธุ์ข้าวนวัตกรรม ผลผลิตสูง 2 ตัน/ไร่ ต้านทานโรค พร้อมรับมือ วิกฤติภูมิอากาศ

Published

on

สวทช. (NSTDA) และ ม.เกษตรศาสตร์ จัดงาน “NSTDA-KU Rice Field Day 2025” โชว์ 7 พันธุ์ข้าวนวัตกรรม ที่ใช้เทคโนโลยี MAS เพื่อสร้าง ข้าวผลผลิตสูง 2 ตัน/ไร่ ต้านทานโรค ทนน้ำท่วม และเป็น ข้าวคาร์บอนต่ำ เพื่อลด ก๊าซเรือนกระจก มุ่งเพิ่ม รายได้ และลด ต้นทุน ให้เกษตรกรไทยใน ตลาดข้าวโลก

สำนักข่าวบริคอินโฟ – สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) หรือ NSTDA โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค / BIOTEC) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จัดงาน “NSTDA-KU Rice Field Day 2025” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวไทย ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการคัดเลือกด้วยเครื่องหมายโมเลกุล (Marker-Assisted Selection หรือ MAS) มุ่งเน้นการพัฒนา พันธุ์ข้าวผลผลิตสูง ถึง 1.5 – 2 ตันต่อไร่ และมีคุณสมบัติเด่นในการ ต้านทานโรค-แมลง ทนสภาวะแวดล้อมวิกฤติ เช่น น้ำท่วม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก โดยมีการจัดแสดง พันธุ์ข้าวพร้อมใช้ หรือ ข้าวทางเลือกใหม่ ที่พัฒนาสำเร็จและได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว 7 พันธุ์ เพื่อเป็นทางเลือกให้เกษตรกรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มรายได้ และลดต้นทุนได้อย่างเป็นรูปธรรม

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) และ ไบโอเทค สวทช. ดำเนินงานวิจัยและพัฒนา พันธุ์ข้าวร่วมกัน มากว่า 25 ปี โดยงาน “NSTDA-KU Rice Field Day 2025” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 ณ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม นี้ เป็นการนำเสนอผลผลิตของความร่วมมือทางวิชาการดังกล่าว ที่นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่การปฏิบัติจริง เพื่อพลิกโฉมภาคเกษตรไทยให้ยั่งยืนและแข่งขันได้ในระดับโลก โดยโจทย์สำคัญของการพัฒนาคือการสร้าง พันธุ์ข้าว ที่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง มีลำต้นสูงพอที่จะอยู่เหนือน้ำในช่วง ฤดูน้ำหลาก ขณะเดียวกันก็ต้องเป็น ข้าวคาร์บอนต่ำ เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งเป็น ก๊าซเรือนกระจก

ดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รักษาการอธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงความร่วมมือนี้ โดยเน้นย้ำถึงการใช้เทคโนโลยี MAS เพื่อสร้างสรรค์และปรับปรุงพันธุ์ข้าวใหม่ที่มีคุณสมบัติเด่นหลากหลาย ทั้ง พันธุ์ข้าวผลผลิตสูง ต้านทานโรคและแมลง ทนสภาพแวดล้อมวิกฤติ ข้าวโภชนาการสูง และ ข้าวคาร์บอนต่ำ

“โจทย์วันนี้คือทำอย่างไรให้เกษตรกรไทยสามารถลืมตาอ้าปากได้อย่างยั่งยืน นั่นคือการทำต้นทุนของเกษตรกรให้ต่ำลง-ผลผลิตสูงขึ้นผ่านการพัฒนาพันธุ์ข้าวและปรับปรุงให้เป็นไปตามความต้องการของตลาดและในระดับโลกต่อไป ควบคู่ไปกับความอร่อย” ดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รักษาการอธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า พันธุ์ข้าว ที่พัฒนาขึ้นมีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น เพียง 90-100 วัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจาก ภัยธรรมชาติ และลดต้นทุนการผลิต พร้อมกล่าวเสริมว่าความสำเร็จของการปรับปรุงพันธุ์ข้าวในครั้งนี้ สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกในหลายมิติ ทั้งเชิงเศรษฐกิจ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และงานวิจัย-นวัตกรรม เช่น ผลผลิตต่อไร่ ที่มากขึ้น และการทนทานต่อโรคและศัตรูพืชที่จะทำให้เกษตรกรลดการใช้ สารเคมีกำจัดศัตรูพืช

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการ ไบโอเทค สวทช.

ไฮไลต์สำคัญของงานคือการจัดแสดง พันธุ์ข้าวผลผลิตสูง เพื่อก้าวสู่เป้าหมาย ผลผลิต 2 ตันต่อไร่ และ พันธุ์ข้าว ที่มีคุณสมบัติเด่นเฉพาะตัว เช่น พันธุ์ข้าวเจ้า ได้แก่ หอมสยาม, หอมสยาม 2, หอมชลสิทธิ์ 2, และ พันธุ์ไบโอเทค 1 (ซึ่งเป็นข้าวที่มีศักยภาพในการผลิตแบบ ข้าวคาร์บอนต่ำ) รวมถึงข้าวเหนียวพันธุ์ น่าน 59, หอมนาคา (ปลูกง่าย-ต้านทานโรค) และข้าวโภชนาการดี พันธุ์ ไรซ์เบอร์รี่ 2 (ให้ผลผลิตมากกว่าเดิม-ทนต่อโรค) โดยมี 7 พันธุ์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรแล้ว และ 3 พันธุ์อยู่ระหว่างการขอรับรองจากกรมการข้าว

ดร.มีชัย เซี่ยงหลิว นักวิจัย ไบโอเทค ได้นำเสนอข้อมูลสถานการณ์ การส่งออกข้าว ทั่วโลก โดยระบุว่าในปี 2024 กำลังการผลิตข้าวทั่วโลกอยู่ที่ 515 ล้านตัน โดย ไทย มีส่วนแบ่ง การผลิต 4% และครองส่วนแบ่ง ตลาดส่งออกข้าวหอม มากที่สุดในโลกที่ 18.4% ซึ่งมี ข้าวหอมมะลิ เป็นตัวนำ และชี้ให้เห็นว่าประเทศที่จะสามารถแข่งขันใน ตลาดข้าว หลังจากนี้ได้ ต้องแข่งกันที่ ต้นทุน และ คุณภาพ ไปควบคู่กัน ซึ่ง ข้าวไทย มีจุดเด่นคือความหอมและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ การวิจัยที่ทำให้เกษตรกรลดต้นทุนด้วยการเพาะปลูกและสายพันธุ์ที่ทนต่อสภาพอากาศ ควบคู่กับความอร่อยที่ยังคงเดิม จะทำให้ประเทศไทยยังคงความสำคัญใน ตลาดข้าวโลก

ดร.มีชัย เซี่ยงหลิว นักวิจัย ไบโอเทค

ขณะที่เมื่อเทียบอัตราส่วนการส่งออกกับการผลิตจะพบว่า ปากีสถาน ส่งออกมากที่สุด เกือบร้อยละ 70 ของการผลิตทั้งหมด ตามมาด้วยสหรัฐฯ และ ไทย นั่นแปลว่าประเทศที่จะสามารถแข็งขันในตลาดข้าวหลังจากนี้ได้ ต้องแข่งกันที่ต้นทุนและคุณภาพไปควบคู่กัน ซึ่งจุดเด่นของข้าวไทย คือ ความหอมและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งหากสามารถทำให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตด้วยการเพาะปลูกและสายพันธุ์ที่ทนต่อสภาพอากาศ ควบคู่ไปกับความอร่อยที่ยังคงเดิมก็จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเรื่องสำคัญในตลาดข้าวระดับโลก และทำให้เกษตรกรไทยมีรายได้เพิ่มมากขึ้น

สำหรับความสำเร็จในครั้งนี้ อาทิ ข้าวเจ้าพันธุ์หอมสยาม , หอมสยาม 2 , หอมชลสิทธิ์ 2 , พันธุ์ไบโอเทค 1 (ข้าวคาร์บอนต่ำ) , ไรซ์เบอร์รี่ 2 (ให้ผลผลิตมากกว่าเดิม-ทนต่อโรค-อร่อยเหมือนเดิม) และ ข้าวเหนียวพันธุ์น่าน 59 , พันธุ์หอมนาคา (ปลูกง่าย-ต้านทานโรค) , หอมนาเล 2 (พันธุ์ที่ออกแบบมาเพื่อปลูกในภาคอีสานโดยเฉพาะ) โดยมีผลผลิตต่อไร่ที่สูงกว่าสายพันธุ์เดิม และเมื่อวิจัย-ปรับปรุงพันธุ์ข้าวจนต้นข้าวมีความทนทานต่อสภาพอากาศ ให้ผลผลิตต่อไร่มากขึ้นและโรคต่างๆมากกว่าแต่ยังให้รสชาติที่ใกล้เคียงเดิม

Advertisement

ดร.มีชัย ระบุว่า “หากถามว่าทำไมการวิจัยเหล่านี้ถึงไม่มีใครทำและตลอด 50 ปีที่ผ่านมาปริมาณการผลิตข้าวเราไม่เคยเพิ่มขึ้น คำตอบคือการวิจัยครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องยากมาก” ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องการนำเสนอเพื่อให้เกิดการต่อยอดจากเกษตรกร และเป็นโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจสำหรับ ตลาดข้าวไทย

นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายทางวิชาการจากผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อ “Breeding Beyond Boundaries” โดย ศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หัวข้อ “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล AI ในงานข้าว” โดย ดร.ธีระ ภัทราพรนันท์ นักวิจัยเนคเทค สวทช. และหัวข้อ “สารชีวภัณฑ์สำหรับการจัดการแปลง” โดย ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน นักวิจัยไบโอเทค สวทช. ตลอดจนมีการจัดนิทรรศการผลงานการปรับปรุงพันธุ์ พันธุ์ข้าวพร้อมใช้ และแปลงที่แสดงเชื้อพันธุกรรมข้าวกว่า 700 พันธุ์ พร้อมทั้งให้คำปรึกษาในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการให้บริการด้านเทคโนโลยี

งาน “NSTDA–KU Rice Field Day 2025” เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการทำงานเชิงบูรณาการระหว่างภาครัฐ มหาวิทยาลัย และภาคการผลิต ที่นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาสร้างผลลัพธ์จริงให้กับประเทศ ทั้งการเพิ่มรายได้ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของชาติ สอดคล้องกับพันธกิจของสวทช.ในการ “สร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” (Empowering the Nation through Science and Technology) เพื่อให้ทุกผลงานวิจัยของไทยกลายเป็นพลังที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้ประเทศ

Advertisement
Continue Reading
Advertisement