Connect with us

ข่าว

ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง NTF บริษัทส่งออกทุเรียนสดรายแรกเข้า mai เตรียมขาย IPO 60 ล้านหุ้น ระดมทุนเพิ่มศักยภาพการผลิต

Published

on

ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง NTF (บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป) เตรียมเสนอขายหุ้น IPO 60 ล้านหุ้น เข้าจดทะเบียนในตลาด mai เป็นบริษัทส่งออกทุเรียนสดรายแรก ระดมทุนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่งออกผลไม้เกรดพรีเมียมไปยังตลาดจีน และขยายตลาดไปยังฮ่องกง สหรัฐอเมริกา

สำนักข่าวบริคอินโฟ – สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ของ บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ NTF เป็นที่เรียบร้อยแล้ว NTF นับเป็นบริษัทส่งออกผลไม้สดรายแรกที่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น คิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดหลัง IPO โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อระดมเงินลงทุนในเครื่องจักรใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเฉพาะในกระบวนการคัดบรรจุทุเรียนสด ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลัก และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อขยายการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า รวมถึงชำระคืนเงินกู้ยืมบางส่วน

NTF มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนที่ชำระแล้ว 70 ล้านบาท (140 ล้านหุ้น) โดยที่ผ่านมาบริษัทแสดงศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สังเกตจากผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2565-2567 และงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 347 ล้านบาท เป็น 1,661 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านบาท เป็น 166 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจาก 2.3% เป็น 9.9% ตามลำดับ

นายวิชัย ศิระมานะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ NTF เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ส่งออกผลไม้เกรดพรีเมียมชั้นนำ แม้ไม่ได้เป็นโรงคัดบรรจุ (ล้ง) เอง แต่ทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรล้ง โดยเข้าไปมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและคัดเลือกสินค้าคุณภาพในทุกขั้นตอนการผลิต การสร้างแบรนด์ และการส่งออกภายใต้มาตรฐานการทำงาน “NTF Standard” หรือ “2Q2T” (Quality – Quantity – Time – Temperature) เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถจัดหาผลไม้สดได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าทั้งปริมาณและคุณภาพ ปัจจุบันสินค้าหลักของ NTF คือ ทุเรียนสด ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้มากกว่า 90% ในช่วงปี 2567–2568 นอกจากนี้ยังได้ขยายไลน์สินค้าไปยังผลไม้ที่มีศักยภาพอื่นๆ เช่น ลำไย มะพร้าว ทุเรียนแช่แข็ง และผลไม้สดหลากหลายชนิด

รายได้เกือบทั้งหมดของ NTF มาจากการส่งออก โดยมีประเทศจีนเป็นตลาดหลัก เนื่องจากความต้องการบริโภคผลไม้ไทยของชาวจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทุเรียนที่ครองตำแหน่งสินค้าส่งออกอันดับหนึ่ง บริษัททำการตลาดภายใต้แบรนด์ของตัวเองหลายแบรนด์ อาทิ เหม่ย ลี่ (Mei Li), ไท่ จี๋ (Tai Ji) และ จิน เยี่ยน (Jin Yan) โดยส่งสินค้าให้กลุ่มลูกค้าหลักที่เป็นผู้ค้าส่งผลไม้ในตลาดใหญ่ของจีน เช่น ตลาดเจียซิง (Jiaxing Market) และตลาดเจียงหนาน (Jiangnan Fruit Market) ซึ่งสามารถกระจายสินค้าไปได้ทั่วประเทศ และในปี 2568 บริษัทได้เริ่มขยายตลาดไปยังฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา เพื่อขยายฐานลูกค้าและลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดจีน รวมถึงมีแผนขยายไปยังลูกค้าจีนทางตอนบนเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการในเขตปักกิ่ง

Advertisement

นายวิชัย กล่าวเสริมว่า “การส่งออกผลไม้สดยังเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของประเทศไทย โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศจีนที่มีการนำเข้าผลไม้สดจำนวนมาก […] ปัจจุบันการกินทุเรียนเฉลี่ยต่อหัวของคนจีนคิดเป็นประมาณ 1 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งต่ำกว่าคนไทยและมาเลเซีย จึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่จะสามารถขายสินค้าให้ผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อได้ในระยะยาว และสินค้าของ NTF เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ แต่ปัจจุบันการผลิตของเราไม่เพียงพอต่อดีมานด์ที่มีอยู่ ดังนั้น การระดมทุนจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินที่จะเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้าได้มากขึ้น เพื่อนำมาจัดหาผลไม้ที่หาได้ในทุกภูมิภาคของไทยมาจำหน่ายเพิ่ม ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพให้ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม จากการนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการผลิต ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้อย่างดี”

ด้าน นายอิศรา ภูววิเชียรฉาย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ NTF กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทได้เริ่มลงทุนนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการผลิตแล้ว ได้แก่ เครื่องจักรกระบวนการเป่าแห้งทุเรียน และเครื่องจักรกระบวนการคัดแยกน้ำหนักและบรรจุสินค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และลดต้นทุนการผลิต ช่วยร่นระยะเวลาทำงานได้มากกว่า 50% ทำให้สามารถคัดบรรจุสินค้าได้เพิ่มขึ้นและควบคุมคุณภาพมาตรฐานได้ดียิ่งขึ้น ในอนาคตบริษัทมีแผนนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มเติม รวมถึงเทคโนโลยีด้านอื่นๆ ที่จะช่วยส่งเสริมคุณภาพของผลไม้ตั้งแต่การเพาะปลูกของเกษตรกรจนถึงการเก็บเกี่ยว

Continue Reading
Advertisement