Connect with us

ข่าว

ชไนเดอร์ อิเล็คทริคเปิดแผน ปี 68 ชู ‘Customer First’ เร่งเครื่องลูกค้าสู่ความยั่งยืน ลดคาร์บอนทั่วโลกกว่า 679 ล้านตัน

Published

on

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว และเมียนมา

สำนักข่าวบริคอินโฟ – ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ประกาศกลยุทธ์หลักสำหรับปี 2568 โดยเน้นการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก (Customer First) เพื่อเร่งผลักดันลูกค้าและคู่ค้าสู่เป้าหมายความยั่งยืน ด้วยสูตรสำเร็จ “เทคโนโลยีดิจิทัลผนวกระบบไฟฟ้า” บริษัทฯ ยังตอกย้ำความสำเร็จในการช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกได้ถึง 679 ล้านตันในช่วงปี 2561 ถึง 2567 พร้อมสนับสนุนระบบนิเวศอย่างแข็งแกร่งและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ผ่านผลิตภัณฑ์ โซลูชั่น และบริการที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพด้านพลังงาน

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว และเมียนมา กล่าวว่า ในฐานะที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นหนึ่งในผู้สร้างผลกระทบเชิงบวก (Impact Makers) ที่ประสบความสำเร็จในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

แนวคิดการสร้างความยั่งยืนของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความยั่งยืนทั้งภายในองค์กรและพร้อมที่จะส่งต่อความมุ่งมั่นนี้ไปยังพันธมิตร โดยมีแนวคิดหลัก 3 ประการคือ

  1. การวางแผนกลยุทธ์ (Strategize) เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพในระบบนิเวศทั้งหมด
  2. การนำเทคโนโลยีมาใช้ (Digitize) ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการวัดผล
  3. การดำเนินการเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีประสิทธิผล (Decarbonize) ด้วยเทคโนโลยีและระบบวิเคราะห์ที่ทันสมัย

ความต้องการขององค์กรธุรกิจในการสร้างความยั่งยืนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการทั่วโลกของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มีรายได้รวม 38,153 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์ (Organic) จากปี 2566 ที่มีรายได้รวม 35,902 ล้านยูโร ซึ่ง 74 เปอร์เซ็นต์ของรายได้รวมมาจากธุรกิจที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังได้รับการจัดอันดับเป็นองค์กรอันดับ 1 ใน Global 100 ถึง 2 ครั้ง จากการจัดทำโดย Corporate Knights

สำหรับแผนงานหลักที่บริษัทจะให้ความสำคัญในปี 2568 แบ่งเป็น 5 ประการคือ

  1. การให้ความสำคัญกับลูกค้าในการช่วยเหลือให้เติบโตได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
  2. สนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้รองรับต่อความเปลี่ยนแปลงในอนาคต
  3. ส่งเสริมเทคโนโลยีดิจิทัลให้สามารถเร่งการเติบโตและใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา
  4. การพัฒนาบุคลากร
  5. การทำธุรกิจอย่างยั่งยืนส่งผลกระทบที่เป็นรูปธรรมให้กับสังคม

นายมงคล ยังกล่าวถึง 3 เมกะเทรนด์สำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในอนาคต ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ , การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งจะเพิ่มความต้องการพลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์อย่างมาก และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่ธุรกิจหันมามองหาพลังงานทดแทนที่เป็นพลังงานสะอาด ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มุ่งมั่นที่จะผลักดันองค์กรต่างๆ ให้ก้าวสู่การเป็น Impact Makers เพื่อตอบโจทย์เมกะเทรนด์เหล่านี้ และสร้างโอกาสการเติบโตจากความยั่งยืน

โดย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ทำการสำรวจ Green Impact Gap ประจำปีร่วมกับ Milieu Insight พบว่า แม้ 95 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทใน 9 ประเทศมีเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่มีเพียง 47 เปอร์เซ็นต์ที่ดำเนินการอย่างครอบคลุมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ขณะที่ประเทศไทยมีช่องว่างการดำเนินการด้านความยั่งยืนอยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์

Advertisement

ทั้งนี้เมื่อถามถึงนโยบายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ปรับเปลี่ยนนโยบายที่ลดบทบาทกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน นายมงคล มองว่า ยังไม่ได้ทำให้เทรนด์ต่างๆของโลกยังไม่้ปลี่ยนไป แม้ว่า นโยบายของสหรัฐอาจส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจ แต่เชื่อว่าในด้านความเปลี่ยนแปลงของโลกจะยังไม่เปลี่ยนไป เพื่อให้โลกของเราสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังได้มอบรางวัล Sustainability Impact Awards 2024 ให้แก่ 5 บริษัทชั้นนำของไทย ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี), บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด (ทรูไอดีซี), บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) และ บริษัท คอมพลีท อิเล็คทริเคิล โซลูชั่นส์ จำกัด เพื่อยกย่องความมุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนร่วมกัน

Continue Reading
Advertisement