บทความ
รักอย่างไรให้ปลอดภัย: แพทย์ รพ.วิมุต เตือนภัยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พร้อมรับ Pride Month

สำนักข่าวบริคอินโฟ – ในยุคที่การนัดพบและการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ ทำได้ง่ายขึ้นผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ สิ่งที่ตามมาคือความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ที่หลายคนอาจยังไม่กล้าถามถึงข้อมูล โดยเฉพาะในช่วง Pride Month นี้ นายแพทย์ประวัฒน์ จันทฤทธิ์ แพทย์ผู้ชำนาญการโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลวิมุต (Vimut Hospital) ได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย 3 โรคหลัก ได้แก่ เอชไอวี (HIV), ซิฟิลิส (Syphilis) และ หนองใน (Gonorrhea) พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการป้องกันและการรับการรักษาอย่างทันท่วงทีเพื่อความปลอดภัยในทุกความสัมพันธ์
รู้จัก 3 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยและเป็นภัยเงียบ
นายแพทย์ประวัฒน์ จันทฤทธิ์ อธิบายว่า “โรคหลักของการติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอยู่ 3 โรค คือ เอชไอวี (HIV), ซิฟิลิส (Syphilis) และ หนองใน (Gonorrhea) ทั้ง 3 กลุ่มนี้สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ในคราวเดียวกัน การเข้าใจโรคเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราป้องกันและดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
เอชไอวี (HIV) เป็นโรคเงียบที่ยังคงเป็นอันตราย โดยสถิติจากกรมควบคุมโรคพบว่า การติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ส่วนใหญ่กว่า 60% เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย แม้ว่าคนทุกเพศที่มีความสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันและเปลี่ยนคู่นอนหลายคนจะมีความเสี่ยงต่อเอชไอวีเช่นกัน แต่ในกลุ่มชายรักชายจะเสี่ยงติดเชื้อสูงกว่าเนื่องจากมิติเชิงชีววิทยา โดยเฉพาะช่องทวารหนักที่มีโครงสร้างเอื้อต่อการติดเชื้อมากกว่าช่องคลอด เนื่องจากเยื่อบุบริเวณนี้ค่อนข้างบาง ไม่มีสารหล่อลื่นตามธรรมชาติ ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่าย และมีเซลล์ CD4 จำนวนมาก ซึ่งเป็นเซลล์ที่เชื้อเอชไอวีใช้เป็นทางเข้าสู่ร่างกาย
สิ่งที่ทำให้อันตรายคือ ผู้ติดเชื้อหลายคนอาจไม่มีอาการเลย หรือมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น เจ็บคอ มีไข้ ซึ่งจะหายเองได้ ทำให้ไม่ทันสังเกต นายแพทย์ประวัฒน์ เตือนว่า “ผู้ติดเชื้อสามารถอยู่โดยไม่มีอาการเป็นเวลา 5-7 ปี หรือบางคนอาจเร็วกว่านั้น 1-2 ปี จนกระทั่งภูมิคุ้มกันถดถอยลงไปเรื่อย ๆ” เมื่อภูมิคุ้มกันต่ำมาก จะเริ่มมีอาการไม่สบาย เบื่ออาหาร ผอมลง มีผื่นคัน ไข้ขึ้นตอนกลางคืน หรือติดเชื้อแปลก ๆ เช่น เป็นงูสวัด หรือวัณโรคในปอด ซึ่งมักเป็นสัญญาณว่าเข้าสู่ระยะเอดส์แล้ว
ทำความเข้าใจยา PrEP และ PEP: ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องใช้ถุงยาง
นายแพทย์ประวัฒน์ อธิบายถึงยาป้องกันการติดเชื้อ เอชไอวี ว่า “ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) เป็นยาป้องกันการติดเชื้อที่กินก่อนมีความเสี่ยง เหมาะสำหรับคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง มี 2 แบบ คือ Daily PrEP (กินทุกวัน) และ On-Demand PrEP (กินก่อนมีเพศสัมพันธ์ 2-24 ชั่วโมง และหลังจากนั้นอีก 2 วัน) ส่วน ยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis) เป็นยาที่กินหลังมีความเสี่ยงแล้ว ใช้เป็นเวลา 28 วัน ทั้งในบุคลากรทางการแพทย์ที่ถูกเข็มที่ใช้กับผู้ป่วย HIV ทิ่ม และคนทั่วไปที่เสี่ยง” อย่างไรก็ตาม การกินยา PrEP ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องใส่ถุงยางแล้ว เพราะยาป้องกันเฉพาะ เอชไอวี แต่ไม่ป้องกันโรคติดต่ออื่น ๆ การใช้ถุงยางร่วมกับ PrEP จะให้ประสิทธิภาพการป้องกัน เอชไอวี ได้ 98-99% แต่หากไม่ใช้ถุงยาง ประสิทธิภาพการป้องกันก็จะลดลง
ซิฟิลิส (Syphilis) โรคระบาดต่อเนื่องที่อันตรายถึงชีวิต
โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และกำลังระบาดในกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มเสี่ยง โรคนี้เป็นอีกหนึ่งภัยเงียบเพราะอาจแฝงอยู่ในร่างกายเป็นเวลานานโดยไม่มีอาการ อาการของซิฟิลิสจะแตกต่างกันในแต่ละระยะ ระยะแรกมักมีแผลที่อวัยวะเพศที่ไม่เจ็บ ซึ่งจะหายเองได้ ทำให้หลายคนอาจไม่ได้สังเกต ระยะที่ 2 จะมีผื่นขึ้นทั้งตัว มีไข้หรือไม่ก็ได้ โดยเฉพาะผื่นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของซิฟิลิส ระยะที่ 3 อาจมีอาการเช่นหูได้ยินน้อยลง หูดับ มองไม่ชัด หรือเชื้อขึ้นสมอง ซึ่งอันตรายมาก การสวมถุงยางอนามัย โดยตัวถุงยางต้องครอบคลุมบริเวณแผล สามารถลดการติดเชื้อซิฟิลิสได้ นายแพทย์ประวัฒน์ เตือนว่า “ซิฟิลิสที่แฝงอยู่เป็นเวลานานสามารถทำให้เส้นเลือดสมองตีบ เกิดเป็นสมองขาดเลือดขึ้นมาตอนอายุมากขึ้นได้” ข่าวดีคือซิฟิลิสสามารถรักษาหายได้ คนทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้ติดเชื้อ HIV รักษาหายได้ง่าย แต่โรคซิฟิลิสในผู้ติดเชื้อ HIV ก็รักษาหายได้เช่นกัน แต่อาจช้ากว่าคนปกติ
หนองใน (Gonorrhea) อาการซ่อนในผู้หญิง ชัดเจนในผู้ชาย แต่เป็นอันตราย
หนองใน (Gonorrhea) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ หนองในแท้และหนองในเทียม ซึ่งเกิดจากแบคทีเรียคนละชนิดกัน อาการในผู้หญิงมัก “หลบ ๆ ซ่อน ๆ” มากกว่าผู้ชาย โดยจะมีสิ่งคัดหลั่งออกมาจากช่องคลอดผิดปกติ เช่น ตกขาวเป็นสีเหลืองหรือสีขาวที่ไม่ใช่ตกขาวปกติ อาจมีอาการปัสสาวะแสบ รู้สึกเจ็บผิดปกติเวลามีเพศสัมพันธ์ หรือมีเลือดออกตอนยังไม่ถึงรอบเดือน ในผู้ที่เป็นมานานอาจมีการปวดท้องหรือปวดท้องน้อยมากกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม หนองในในผู้หญิงบางคนอาจไม่มีอาการเลย หากปล่อยไว้ไม่รักษาจะลามไปสู่การอักเสบเรื้อรังในช่องท้องน้อย มดลูกติดเชื้อ หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ ส่วนผู้ชายมักมีอาการชัดเจนกว่า ทำให้เข้ารับการรักษาเร็วกว่า โดยจะมีอาการหนองไหลออกมาเมื่อปัสสาวะหรือปัสสาวะแล้วเจ็บแสบมาก บางคนอาจเจ็บอัณฑะ หรืออัณฑะบวมได้ หากมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก อาจมีหนองที่ทวารหนัก และหากมี Oral Sex อาจมีอาการเจ็บคอ กลืนแล้วรู้สึกเจ็บ หรือรู้สึกระคายเคืองในคอ หนองใน (Gonorrhea) รักษาด้วยการใช้ยา ซึ่งจำเป็นต้องพาคู่นอนเข้ารับการรักษาด้วยกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ ส่วนวิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
นายแพทย์ประวัฒน์ เน้นย้ำว่า “แน่นอนว่าการป้องกันโรคที่ดีที่สุดคือ Safe Sex ซึ่งต้องตกลงกันทุกฝ่าย บอกคู่นอนเราให้ใส่ถุงยางทุกครั้ง ไม่ต้องกลัวหรือเกรงใจ เพราะป่วยไปไม่คุ้มกันอยู่แล้ว เมื่อรู้ตัวว่ามีความเสี่ยง มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน ต้องอย่าปล่อยไว้จนมีอาการรุนแรง การมาพบแพทย์เร็วจะช่วยให้รักษาได้ไวและหายจากโรคได้ แต่หากปล่อยไว้จนเข้าระยะรุนแรง จะใช้ชีวิตยากขึ้น ไม่ต้องกลัวการพบแพทย์ ทุกสถานพยาบาลมีการปกป้องข้อมูลผู้ป่วยอย่างเข้มงวด หากอายแล้วไม่มาตรวจ พออาการรุนแรงและเจ็บป่วยไปจะไม่คุ้ม อยากย้ำว่า โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ป่วยได้ก็หายได้ ควรพาคู่นอนมาตรวจและรักษาไปด้วยกัน อย่าไปแคร์ความรู้สึกหรือสายตาคนอื่น ให้โฟกัสว่าต่อจากนี้ เราจะทำยังไงให้กลับมาแข็งแรง และใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยในอนาคตจะดีที่สุด”
ผู้ที่สนใจปรึกษาแพทย์ โรงพยาบาลวิมุต (Vimut Hospital) สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่ ศูนย์อายุรกรรม ชั้น 3 โรงพยาบาลวิมุต เวลาทำการ 08.00 – 24.00 น. โทร. 0 2079 0030 หรือดาวน์โหลด ViMUT Application เพื่อนัดหมายแพทย์ หรือใช้บริการปรึกษาหมอออนไลน์