ข่าว
ธุรกิจผ้าไหมพันล้าน: กว่างซี จีน ปรับโฉมอุตสาหกรรมไหมซินเฉิงสู่ยุคดิจิทัล มุ่งสู่ตลาดโลก
สำนักข่าวบริคอินโฟ – เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง (Guangxi) ประเทศจีน กำลังพลิกโฉมอุตสาหกรรม ไหม (Silk) ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานในเมืองไลบิน (Laibin) โดยเฉพาะที่ อำเภอซินเฉิง (Xincheng County) ให้กลายเป็น “เส้นทางสายไหมใหม่” (New Silk Road) ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Intelligent Technology) ผ่านการยกระดับตั้งแต่การปลูก ต้นหม่อน และการเลี้ยง หนอนไหม ไปจนถึงกระบวนการแปรรูปเส้นไหมเพื่อการส่งออก การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของกว่างซีในการสร้างอุตสาหกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อสร้างรายได้และผลักดันมูลค่าทางเศรษฐกิจในภูมิภาคให้สูงถึง 1 พันล้านหยวน ในปี 2024

โรงงานครบวงจรและการผลิตตลอดปี
คณะสื่อมวลชนต่างประเทศได้เข้าเยี่ยมชมอำเภอซินเฉิง เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2025 เพื่อทำความเข้าใจการ “พลิกโฉมอย่างชาญฉลาด” ของอุตสาหกรรมไหม ซินเฉิงเป็นที่รู้จักในฐานะ “บ้านเกิดของการเลี้ยงไหม” (hometown of sericulture) โดยมีประชากรถึง 276,000 คน ที่พึ่งพาอาชีพนี้ Xincheng Cocoon Silk Industrial Park ได้รับการออกแบบให้เป็นโรงงานครบวงจร ครอบคลุมการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในอุตสาหกรรมการผลิตผ้าไหม

โรงงานแห่งนี้มีพื้นที่ราว 240,000 ตารางเมตร ครอบคลุมตั้งแต่โรงเลี้ยง หนอนไหม, โรงสาวไหม, โรงย้อม, โรงทอ ไปจนถึงการพิมพ์ลายลงบนผ้า เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันกับเมืองอื่น ๆ ในประเทศจีนได้ โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักในพื้นที่ Greater Bay Area และ มณฑลเจ้อเจียง (Zhejiang)

ความท้าทายหนึ่งของการผลิตไหมคือ ต้นหม่อน ไม่ได้เติบโตตลอดทั้งปี ดังนั้น เพื่อให้สามารถรักษากำลังการผลิตของโรงงานได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทางโรงงานจึงต้องใช้วิธี แช่แข็งตัวไหม บางส่วน และใช้ อาหารสังเคราะห์ ที่มีสารอาหารเทียบเท่ากับการกินต้นหม่อนจริง เพื่อให้หนอนไหมสามารถสร้างรังไหมและผลผลิตได้ตลอดเวลา ปัจจุบันโรงงานมีความสามารถในการทอผ้าอยู่ที่ 400,000 เมตรต่อชั่วโมง และมีเครื่องจักรพิมพ์ลายถึง 6 เครื่อง ซึ่งสามารถออกแบบและผลิตลวดลายที่แตกต่างกันได้กว่า 10,000 แบบต่อปี รวมถึงสามารถผลิตตามลวดลายที่ลูกค้าต้องการได้
เทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าและกลยุทธ์การแข่งขันในประเทศ
คุณเว่ย อี้เฉิน (Wei Yichen) รองผู้จัดการทั่วไปของ Guangxi Tongyi Guosi Development Co., Ltd. ได้เปิดเผยว่า บริษัทได้ย้ายจากเซินเจิ้นมายังซินเฉิงเพราะเห็นถึง “รากฐานทางอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง” ของที่นี่ โดยมีการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ (Intelligent Technology) เข้ามาช่วยในการผลิต เช่น ระบบชลประทานและใส่ปุ๋ยอัจฉริยะในแปลงปลูกหม่อน และการใช้ระบบ 5G สำหรับ “การจัดการโรงเรือนหนอนไหมอัจฉริยะ” (Smart Silkworm House Management) เพื่อให้คำแนะนำทางเทคนิคแก่เกษตรกร ซึ่งช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้ต่อหมู่ของเกษตรกรได้มากกว่า 50%

คุณเว่ย เหมิงหัว (Wei Menghua) หัวหน้าฝ่ายการเงินของ Xincheng County Hengye Silk Co., Ltd. ระบุว่า การยกระดับคุณภาพทำให้ราคา ไหมดิบ หนึ่งตันเพิ่มขึ้นจากกว่า 200,000 หยวน เป็นสูงถึง 500,000 หยวน การลงทุนในอุตสาหกรรมไหมของซินเฉิงเป็นไปตามกลยุทธ์ระดับประเทศ เนื่องจากขนาดที่ใหญ่ของประเทศจีนทำให้บางมณฑลมีรายได้และความเจริญมากกว่ามณฑลอื่น การสร้างโรงงานที่เป็น เอกลักษณ์ ของแต่ละเมืองจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างรายได้และแข่งขันกับเมืองอื่น ๆ
ตลาดในประเทศและการขยายสู่ตลาดโลก
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ไหมส่วนใหญ่จากโรงงานแห่งนี้เป็นการผลิตเพื่อใช้และขายใน ประเทศจีน โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักอยู่ในเขต Greater Bay Area (กว่างตุ้ง, ฮ่องกง, มาเก๊า) และ มณฑลเจ้อเจียง สำหรับการส่งออกนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการทำผ่านบริษัทบุคคลที่สามที่มารับ-สั่งไปขายต่อ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทที่รับไปขายที่ ออสเตรเลีย แล้ว และทางโรงงานเชื่อมั่นว่าจะสามารถขยายการส่งออกไปยังภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อไปได้อีก

ราคาขายของผ้าไหมอยู่ที่เมตรละ 100-700 หยวน ขึ้นอยู่กับลวดลายและคุณภาพของผ้า ก่อนที่ผ้าเหล่านี้จะถูกนำไปต่อยอดให้กลายเป็นเครื่องนุ่งห่มและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าต่อไป ในปี 2024 เมืองไลบินมีวิสาหกิจด้านรังไหมและไหมที่ได้มาตรฐาน 9 แห่ง โดยมี 8 แห่งที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปสาวไหม ซึ่งผลิตไหมดิบได้ประมาณ 2,000 ตัน และสร้างมูลค่าผลผลิตรวมทางอุตสาหกรรมสูงถึง 1 พันล้านหยวน

