Connect with us

ข่าว

นักวิชาการ ชี้ กลุ่มเสี่ยงว่างงานหลังคลายล็อก

อนุสรณ์ ธรรมใจ มองสภาวะการจ้างงานหลังคลายล็อกระยะ 5 ยกงานวิจัย ชี้ กลุ่มเสี่ยง

Published

on

(5 ก.ค.) นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ กล่าวว่า ผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 และการล็อกดาวน์ปิดเมืองในช่วงที่ผ่านมา ได้เพิ่มปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและเกิดสถานการณ์เลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมจำนวนมาก หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจได้ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การคลายล็อกดาวน์เฟสห้าบรรเทาปัญหาได้ระดับหนึ่ง แต่ยังมีแรงงานจำนวนมากยังเสี่ยงต่อการว่างงาน รัฐต้องไม่ซ้ำเติมปัญหาด้วยการเลิกจ้างพนักงานองค์กรของรัฐและรัฐวิสาหกิจในขณะนี้ แต่รัฐควรสนับสนุนทางงบประมาณ เพื่อให้องค์กรที่ประสบภาวะขาดทุนสามารถดำเนินกิจการและรักษาการจ้างงานไปให้ได้ก่อนในช่วงนี้

การดำเนินการปฏิรูปองค์กรที่จะนำมาสู่การลดขนาดองค์กรหรือการเลิกจ้างควรชะลอไปก่อน ควรปฏิรูปองค์กรหรือแก้ปัญหาการประสบปัญหาฐานะทางการเงินหรือภาวะหนี้สินด้วยวิธีการอื่นๆก่อน การเลิกจ้างโดยไม่แจ้งล่วงหน้านอกจากสร้างภาวะตื่นตระหนกในระบบเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นการดำเนินการที่ไม่ส่งเสริมให้เกิดระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ดีในตลาดแรงงานอีกด้วย

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า จากงานศึกษาวิจัยภายใต้สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย ของเนื้อแพร เล็กเฟื่องฟู ,ศุภนิจ ปิยะพรมดี ,พรพจ ปรปักษ์ขาม , นฎา วะสี พบว่า แรงงานไทยที่อยู่ในกิจการที่ถูกปิดชั่วคราวมีประมาณ 6.1 ล้านคน โดยเกือบ ๆ สี่ล้านคนส่วนมากอยู่ในภาคการค้า ธุรกิจอาหารและโรงแรม รองลงมาเป็นกิจการด้านการศึกษาและบริการส่วนบุคคล  

Advertisement

ในการผ่อนปรนระยะแรก แรงงานที่จะได้กลับไปทำงานมีราว 0.87-2.37 ล้านคน ในระยะต่อ ๆ มา เมื่อศูนย์การค้าและตลาดนัดสามารถเปิดเต็มตัว แรงงานอีก 1.7 ล้านน่าจะได้กลับเข้างาน หากนายจ้างยังต้องการจ้างงานอยู่ งานของคณะผู้วิจัยของเนื้อแพรและคณะ ได้พัฒนาดัชนีใหม่สองตัวซึ่งสร้างจากลักษณะงานที่ทำ

จากการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยของสองดัชนีนี้ตามกลุ่มอาชีพหลัก งานวิจัยของเนื้อแพรและคณะ พบว่ากลุ่มผู้บัญญัติกฎหมาย ข้าราชการ ผู้จัดการ และผู้ประกอบวิชาชีพด้านต่างๆ ซึ่งเป็นกลุ่มงานที่ใช้ทักษะสูง มีค่าดัชนีความง่ายในการปรับเปลี่ยนสถานที่ทำงานสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ เพราะงานไม่ได้ผูกติดกับเครื่องมือหรือสถานที่และยังเอื้อต่อการใช้ ICT

ส่วนกลุ่มพนักงานบริการและขายสินค้า มีค่าดัชนีด้านการสัมผัสใกล้ชิดกับคนอื่นสูงที่สุด สำหรับเกษตรกรและผู้ปฏิบัติการด้านเครื่องจักรในโรงงาน กลุ่มนี้มีค่าดัชนีด้านงานที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับกลุ่มอื่นจะต่ำที่สุด แต่งานที่ทำไม่สามารถปรับเปลี่ยนสถานที่ทำงานได้ง่าย

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า สังคมไทยไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างการรักษาเศรษฐกิจหรือรักษาชีวิตคน แต่ประเทศไทยต้องมีนโยบายหรือมาตรการในอนาคตที่สามารถรักษาระบบเศรษฐกิจและการจ้างงาน การมีรายได้ ไปพร้อมกับการรักษาชีวิตผู้คนและป้องกันการแพร่ระบาดไปได้พร้อมกัน

โดยขอแนะนำให้นำเอาดัชนีความเสี่ยงด้าน Flexible Work Location และ Physical Proximity มาไขว้กัน ทำให้ผู้บริหารประเทศทราบว่า กลุ่มคนต่างๆได้รับผลกระทบต่างๆกันและเพิ่มความเหลื่อมล้ำเพราะกลุ่มคนที่มีรายได้สูงมักจะมีลักษณะงานที่ทำงานจากที่บ้านและสัมผัสทางกายภาพน้อย จะเปิดหรือปิดเมืองก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ลักษณะจะสามารถทำงานที่บ้านได้ (ไม่ต้องเดินทาง) ไม่ต้องสัมผัสผู้คนทางกายภาพ

เช่น กลุ่มผู้บริหาร กลุ่มนักลงทุนในตลาดการเงิน งานที่ปรึกษา งานวิชาการ อาจารย์ระดับอุดมศึกษา งานเกี่ยวกับ ICT และธุรกิจออนไลน์ เป็นต้น ขณะที่บางกลุ่มจะเปิดหรือปิดเมืองก็มีความเสี่ยง เช่น งานร้านอาหาร งานในสถานบันเทิงต่างๆ งานในบ่อนการพนันและสนามมวย งานในสถานอาบอบนวดและสปา กิจการร้านตัดผมและเสริมสวย บุคลากรทางการแพทย์โดยเฉพาะทันตแพทย์ มัคคุเทศก์ ครูระดับปฐมวัยและมัธยมต้น เป็นต้น

Advertisement