เวียตเจ็ทไทยแลนด์เปิดตัว “Green Route” ขับเคลื่อนเส้นทางบินรักษ์โลกด้วยเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน

สำนักข่าวบริคอินโฟ – สายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ (Vietjet Thailand) ประกาศเปิดตัวโครงการ “Green Route” อย่างเป็นทางการ เพื่อเดินหน้าสู่การบินที่ยั่งยืน โดยจะนำเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) มาใช้กับเส้นทางบินพาณิชย์ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยเตรียมเริ่มใช้ SAF เพิ่มเติมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 ในเส้นทางกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) – เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) – ฟู้โกว๊ก (เวียดนาม)

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ได้เริ่มนำร่องให้บริการเที่ยวบินพาณิชย์โดยใช้ เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ในเส้นทางกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) – ดานัง (เวียดนาม) ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นรากฐานสำหรับการขยายผลในอนาคตภายใต้โครงการ “Green Route” ความสำเร็จนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของสายการบินทั้งในด้านเทคโนโลยีและวิสัยทัศน์ระยะยาวในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินสู่ความยั่งยืน

เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) เป็นที่ยอมรับในระดับสากลว่าเป็นทางเลือกสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมการบิน เนื่องจากสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงสุดถึงร้อยละ 80 ตลอดอายุการใช้งานเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงอากาศยานแบบดั้งเดิม การนำเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนมาใช้ในการปฏิบัติการบินนี้ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์และเป้าหมายด้านความยั่งยืนของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ รวมถึงเป้าหมายของภาครัฐและภาคเอกชน

นายวรเนติ หล้าพระบาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เวียตเจ็ทไทยแลนด์ กล่าวว่า “โครงการ Green Route สะท้อนเจตนารมณ์ของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่การบินอย่างยั่งยืน การนำเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนมาใช้ในการปฏิบัติการบิน ไม่เพียงเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐ ผู้ผลิตเชื้อเพลิง ผู้ผลิตอากาศยาน ไปจนถึงผู้โดยสาร ที่มีบทบาทสำคัญในการร่วมผลักดันอนาคตของอุตสาหกรรมการบินสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง”

ในอนาคต เวียตเจ็ทไทยแลนด์มีแผนจะขยายการใช้ เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ในเส้นทางบินอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการใช้ SAF ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 ภายในปี 2569 และเพิ่มเป็นร้อยละ 5 ภายในปี 2573 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของอุตสาหกรรมการบินทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก